นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 223 มีนาคม - เมษายน 2563

58 นิตยสาร สสวท.ิ ต QUIZ ตาราง 1 ไวรัสโคโรนาที่่ิดจากสัตว์สู่มนุษย์และทำ �ให้เกิดโรคทีุ่่นแรงในมนุษย์ (ดัดแปลงจาก He, Deng, & Li, 2020) หมายเหตุ ACE2 = Angiotensin converting enzyme 2, COVID-19 = Coronavirus disease 2019, DPP4 = Dipeptidyl peptidase 4, MERS-CoV = Middle East repiratory sysdrome-coronavirus, SARS-CoV = Severe acute respiratory syndrome-coronavirus สวัสดีทุกๆ คน ในช่วงเวลานี้ ต่ายมั่นใจว่ามีเรื่องเดียวทีุ่่ณและต่ายกังวลมากๆ ก็คือ การระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่่� งส่งผลกระทบมากมายกับการดำ �รงชีวิตของมนุษย์โลก การระบาดครั้งนี้เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่มณ ลอู่่�ฮ น (Wuhan) ประเทศจีน โดยมีรายงานการค้นพบผู้้่วยโรคปอดบวม (Pneumonia) ที่่ีอาการรุนแรงมากกว่าโรคปอดบวมทั่วไป องค์กรอนามัยโลกเลยตั้งให้เป็นโรคปอดบวมชนิดรุนแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ชนิดที่ 2 (Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2 ตัวย่อ SARS-CoV-2) เป็นการชั่วคราวก่อน และต่อมาจึงตั้งชื่อเป็น Coronavirus Disease 2019 หรือ COVID-19 จากนั้นไม่นานก็เริ่มระบาดในอู่่�ฮ นและเมืองอื่นๆ ของจีน แล้วลุกลามออกมานอกประเทศจากการเดินทางไปมาหาสู่่ันของมนุษย์ (อ่านเพิ่มเติมได้ในต่ายฉบับที่ 222 เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) จากวันนั้นถึงวันนี้ 13 เมษายน พ.ศ. 2563 ทั่วโลกมีผู้้่วยมากถึง 1,852,359 คน ตายไปแล้ว 114,194 คน มีผู้้�ท หายป่วย 423,311 คน เมื่อต่ายนำ �มาคิดเป็นร้อยละ พบว่าจากจำ �นวนผู้้่วยทั้งหมด มีคนตายไปแล้ว 6.16% และคนที่หายป่วยแล้ว 22.85% ต่ายมองว่าค่าทางสถิติร้อยละของจำ �นวนผู้้่วยช่วยทำ �ให้ลดความหวาดกลัว และเข้าใจได้ง่ายว่า ถ้ามีคนป่วย 100 คน มีโอกาสที่จะเสียชีวิต 5-6 คน ทีนี้มาดูสถิติของเมืองไทยกันบ้าง มีคนติดเชื้อทั้งหมด 2,551 คน หายแล้ว 1,218 คน และตาย 38 คน ถ้าคิดเป็นร้อยละ จะพบว่าในประเทศไทยมีคนที่หายป่วยแล้ว 47.74% และตาย 1.48 % แสดงว่า การแพทย์ไทยมีความสามารถในการรักษาผู้้่วยให้หายได้มากกว่า และมีคนเสียชีวิตน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก เรามาทำ �ความรู้้ัก Coronaviruses กันดีกว่าว่าไวรัสชนิดนี้้ีที่ไปที่มาอย่างไร ไวรัสกลุ่มนี้เป็นไวรัสที่่ีสารพันธุกรรมเป็น RNA สายเดี่ยว เป็นไวรัสกลุ่มที่่ำ �ให้เกิดโรคเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ตับ และระบบประสาท ในมนุษย์ และสัตว์หลายชนิด โดยมีความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ก่อนหน้านี้พบว่าการติดเชื้อโคโรนาไว้รัสชองมนุษย์ จะทำ �ให้เกิดความเจ็บป่วย เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจแบบที่ไม่รุนแรง โดยสามารถระบุสายพันธุ์์่อยของไวรัสไว้ได้ 4 ชนิด คือ HCoV-OC43, HCoV-229E, HCoV-NL63 และ HCoV-HKU1 แต่ในช่วงระยะ 20 ปีที่่่านมา มีการตรวจพบโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่่ำ �ให้เกิดโรคเกี่ยวกับ ระบบทางเดินหายใจทีุ่่นแรงมากขึ้น คือ Severe Acute Respiratory Syndrome CoV (SARS-CoV) และ Middle East Respiratory Syndrome CoV (MERS-CoV) ซึ่่� งมักจะเรียกชื่อสั้นๆ ว่า โรค าร์ และโรคเมอร์ส และมีอัตราการตายอยู่่�ท 10% และ 35% ตามลำ �ดับ ทำ �ไมถึงเช่� อว่า CoV-19 มีต้นกำ �เนิดมาจากค้างคาว ในช่วงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 ได้มีการตรวจรหัสพันธุกรรมของ CoV-19 จากผู้้่วย เทียบกับโคโรนาไวรัสในค้างคาว พบว่ามันมีความเหมือนกันมากถึง 96.2% ทำ �ให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะมีต้นกำ �เนิดมาจากค้างคาว และติดต่อมาสู่มนุษย์ พร้อมๆ กับเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม 4% เพื่อทำ �ให้สามารถปรับตัวอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้ ส่วนประเด็นของช่วงเวลาในการระบาดของเชื้อโรคค้างคาว อาจอยู่ในช่วงเวลาของการจำ �ศีล โดยไวรัสชนิดนี้้่าจะมีสัตว์ อีกชนิดหนึ่งเป็นพาหะที่เป็นตัวกลางระหว่างค้างคาวและมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาหลักฐานมาสนับสนุนสมมุติฐาน นี้ได้ ดังตาราง 1 Coronavirus โฮสต์ที่ได้รับ ผลกระทบ โฮสต์ตัวกลาง โฮสต์ที่เป็นแหล่ง ต้นกำ �เนิด ทำ �ให้เกิดโรค ชนิดของตัวรับที่ เย่� อหุ้มเ ลล์ SARS-CoV มนุษย์ Himalayan palm civet/raccoon ค้างคาว SARS ACE2 MERS-CoV มนุษย์ Dromedary camels ค้างคาว MERS DPP4 SARS-CoV-2 มนุษย์ ไม่มีรายงาน ไม่มีรายงาน COVID-19 ACE2 จากตาราง 1 ผลการวิเคราะห์สารพันธุกรรมชนิด RNA พบว่า SARS-CoV-2 มีลำ �ดับเบสเหมือนกับ SARS-CoV มากถึง 79.5% นักวิทยาศาสตร์พบว่า โปรตีนที่เปลือกหุ้มไวรัส (The envelope spike protein หรือเรียกว่า S protein ในภาพ 1) มีความสำ �คัญ มากสำ �หรับกลไกในการติดต่อเข้าสู่เ ลล์โฮสต์ และมีความจำ �เพาะกับชนิดของตัวรับที่เยื่อหุ้มเ ลล์ (ดังแสดงในตาราง 1) ไวรัสที่่ำ �ให้ เกิดโรค SARS และ COVID-19 ใช้ตัวรับที่เยื่อหุ้มเ ลล์ชนิดเดียวกัน แต่ที่่ิเศษกว่านั้นก็คือ เมื่อทำ �การศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างของ

RkJQdWJsaXNoZXIy MzQ5Njg1