นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 227 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2563

16 นิตยสาร สสวท.ิ ต วัคซีีนแห่งความหวัง ร้� หรือไม่ ำ �ไม COVID-19 ถึงรุนแรงกว่าโรค าร์ส ทั้้� งที่่� เกิดจากไวรัสตระกูลเดียวกัน เมื่อการระบาดของโรค COVID-19 ลุกลามไปทั่วและไม่มีทีท่าจะควบคุมได้ ทำ �ให้เศรษฐกิจทั่วโลกยำ� �แย่ การพัฒนาวัคี นจึงเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ หลักการพื้นฐานของการผลิตวัคี น คือ การใช้เชื้อที่ตายแล้ว หรือเชื้อที่่ังมีชีวิตอยู่ หรือส่วนของเชื้อฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคชนิดนั้น ขึ้นเอง เช่น ประเทศจีนได้นำ �เชื้อที่ตายแล้วซึ่่� งเป็นเชื้อที่แยกได้จากผู้้่วยมาเลี้ยงขยายพันธุ์ จากนั้นฆ่่าเชื้อด้วยสาร เคมีและทำ �เชื้อให้บริสุทธิ� แล้วจึงนำ �มาทดลองฉีดในหนูและลิง โดยพบว่าร่างกายของสัตว์ทดลองสามารถสร้างภูมิคุ้ม กันชนิดอิมมูโนโกลบูลิน G ที่่ำ �เพาะต่อโปรตีนในสไปค์โปรตีนของไวรัส โดยทางผู้้ัฒนาคาดว่าสามารถนำ �วัคี นนี้ มาใช้ได้ในปี ค.ศ. 2022 (Gao et al., 2020) นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ คือ การผลิตวัคี นจาก mRNA ของไวรัส ซึ่่� งเป็นส่วนที่่ำ �เพาะต่อการสร้างสไปค์โปรตีนของเชื้อไวรัส โดย mRNA จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมันขนาดเล็ก เพื่อป้องกันการย่อยสลายจากเอนไ์ ในร่างกายก่อนนำ �เข้าสู่่่างกาย เมื่อ mRNA เข้าสู่่่างกายแล้ว จะกระตุ้นให้ ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่่ำ �เพาะต่อเชื้อไวรัสได้ ขณะนี้ได้เริ่มมีการทดลองใช้ mRNA วัคี นกับอาสาสมัครแล้ว พบว่า วัคี นมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันโรคได้สูง ซึ่่� งคาดว่าจะใช้เวลาในการทดลองอีกระยะหนึ่งจึงจะนำ �มาใช้จริง (Corbett et al., 2020) อย่างไรก็ตาม การพัฒนาวัคี นจะต้องทดสอบประสิทธิภาพของวัคี นอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา จึงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะมีการประกาศใช้วัคี น สำ �หรับป้องกันโรคนี้ได้ • ไวรัส SARS-CoV-2 มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากสไปค์โปรตีนของ SARS-CoV-2 สามารถยึดเกาะกับตัวรับ ACE2 ได้ดีกว่าไวรัสโคโรนาที่่ำ �ให้เกิดโรค าร์ส (SAR-CoV) 10 เท่า • ไวรัส SARS-CoV-2 สามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าไวรัสโรค าร์สทีุ่่ณหภูมิ 33 องศาเ ลเี ยส ถึง 100 เท่า จึงทำ �ให้ สามารถเกาะจับกับ ACE2 ของเ ลล์ในทางเดินหายใจส่วนบน คือ ในโพรงจมูกและลำ �คอได้ไม่ต้องลงไปจับลึก ถึงที่ปอดเหมือนกับโรค าร์สทำ �ให้สามารถติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่า (V'kovski et al., 2020) ที่มา https://workpointtoday.com/mrna-3/