นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 244
ปีที่ 51 ฉบับที่ 244 กันยายน - ตุลาคม 2566 47 สมรรถนะ สมรรถนะได้ถูกนำ�มาใช้อย่างกว้างขวางในการกำ�หนดความ สามารถของบุคคลที่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงาน และการประกอบอาชีพ แผนภาพ แสดงกรอบการเรียนรู้ของ OECD The OECD Learning Framework 2030 (OECD, 2018) โดยองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development) หรือเรียกว่า OECD ได้อธิบายเกี่ยวกับสมรรถนะและการเกิดสมรรถนะไว้ ดังแผนภาพ จากแผนภาพแสดงกรอบการเรียนรู้ของ OECD ในปี 2030 มีสมรรถนะที่เกี่ยวข้องคือ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยม เพื่อ ตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อน โดย ความรู้ ประกอบด้วย ความรู้ ในสาขาวิชา (Disciplinary Knowledge) เพื่อการพัฒนาต่อยอดความรู้ใหม่ ความรู้แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Knowledge) เพื่อการบูรณาการ ข้ามสาขาวิชาและเชื่อมโยงความรู้ในด้านต่างๆ ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ของวิชา (Epistemic Knowledge) เพื่อการแสวงหาความรู้และขยายความรู้ ของตนเอง ความรู้เชิงกระบวนการ (Procedural Knowledge) เป็นความรู้ ที่เกิดจากการทำ�ความเข้าใจวิธีการทำ�หรือสร้างบางสิ่งบางอย่าง ส่วน ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะทางปัญญาและอภิปัญญา (Cognitive and Meta- cognitive Skills) เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนเพื่อการเรียนรู้ (Learning to Learn) และการควบคุมตนเอง (Self-regulation) ทักษะด้านสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Skills) เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การรับรู้ความสามารถตนเองและการทำ�งาน ร่วมกัน ทักษะทางกายภาพและการปฏิบัติ (Physical and Practical Skills) เช่น การใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใหม่ และ เจตคติและค่านิยม ที่สามารถสังเกตได้ในระดับบุคคล (Personal) ท้องถิ่น (Local) สังคม (Societal) และในระดับโลก (Global) เช่น แรงจูงใจ ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ ความรับผิดชอบ การเคารพ ในความหลากหลาย และการมีคุณธรรม (OECD, 2018) จากการอธิบายของ OECD สมรรถนะจึงเป็นมากกว่าความรู้ และทักษะ โดยสมรรถนะเกี่ยวข้องกับความสามารถในการตอบสนองต่อ ความต้องการที่มีความซับซ้อนโดยการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ เจตคติและ ค่านิยมในบริบทเฉพาะ เพื่อทำ�ให้เกิดความสำ�เร็จและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ผู้ที่มีสมรรถนะหรือมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นบุคคลที่มี ความรู้เชิงกว้างและเฉพาะด้าน มีทักษะที่หลากหลาย และสามารถนำ�ความรู้ และทักษะเหล่านั้นไปใช้ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จักหรือไม่คุ้นเคย โดยอาศัยเจตคติ และค่านิยมประกอบด้วย ดังนั้น การทำ�ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะได้จึงควร จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ประมวล ผสมผสานความรู้ ทักษะ เจตคติและ ค่านิยมในการลงมือปฏิบัติในสถานการณ์ที่หลากหลายและแตกต่างจาก การเรียนรู้และฝึกฝนในห้องเรียนด้วยตนเอง ซึ่งสถานการณ์ควรเชื่อมโยง กับการดำ�รงชีวิตจริงและสังคม เป็นได้ทั้งสถานการณ์จริง หรือใกล้เคียง ความจริงก็ได้ และในการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้แสดงสมรรถนะออกมาเป็นพฤติกรรมและการกระทำ�ที่สามารถ สังเกตได้ งานภาคปฏิบัติ (Performance Task) งานภาคปฏิบัติเป็นตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถ นำ�ไปจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมเพื่อตอบสนองต่อ การเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 (McTighe, 2016) หรือเกิดสมรรถนะได้ เนื่องจากผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และผู้สอนสามารถใช้เป็นกิจกรรม สำ�หรับการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าผู้เรียนเข้าใจแนวคิดสำ�คัญ และทักษะกระบวนการได้ดีเพียงใด ซึ่งผู้เรียนจะแสดงความเข้าใจและ ความสามารถออกมาโดยนำ�การเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า Performance Task เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ใช้สำ�หรับการประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) ที่เน้นให้ ผู้เรียนได้สาธิต และประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะหรือเจตคติ ผ่านการลงมือปฏิบัติตามภาระงานที่กำ�หนด (Stoll & Schultz, 2019) ทั้งนี้ McTighe (2015; n.d) ได้สรุปเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของ Performance Task ไว้ดังนี้ 1. มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่มากกว่าการระลึก หรือการจดจำ�ได้ ผู้เรียนต้องใช้การเรียนรู้ที่ได้รับในการปฏิบัติจริง โดยทั่วไป ภาระงานที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจะเป็นผลงานที่จับต้องได้ เช่น สิ่งประดิษฐ์ แบบจำ�ลอง ผังมโนทัศน์ ภาพกราฟิก หรือเป็นผลงานที่แสดงถึงความสามารถ เช่น การนำ�เสนอด้วยปากเปล่า การโต้วาที การพูดโน้มน้าว โดยผลงานเหล่านี้ จะใช้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเข้าใจและความสามารถของผู้เรียน
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5