นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 247
42 นิตยสาร สสวท. ในช่วงเวลาที่ผ่านมาปัญหา “ฝุ่น PM 2.5” ปรากฏให้เห็นด้วยตาของเราอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ปรากฏผ่านสื่อต่างๆ มากมายหลายสำ �นัก และดูเหมือนในเวลานี้รัฐบาลไทยยังคงไม่มีแนวทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่จะนำ �มาใช้ในการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เราในฐานะประชาชนที่ต้องอาศัยและหายใจในบรรยากาศที่มี “ฝุ่น PM 2.5” ปะปนอยู่ในระดับ ที่ต้องมีการประกาศเตือนก็ยังมองไม่เห็นทางแก้ปัญหาที่ชัดเจนและเป็นไปได้ของหน่วยงานภาครัฐด้วยเช่นกันทั้งในเรื่องของ นโยบายและแนวทางในการปฏิบัติตามนโยบาย สำ �หรับในครั้งนี้เราจะมาดูว่าในแง่มุมของการศึกษาและการพัฒนาประเทศนั้น “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จะมีผลกระทบอย่างไร และประชาชนควรจะรับรู้ เกิดความตระหนัก และปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อป้องกัน ปัญหานี้ในแบบที่เหมาะสมและสามารถลดหรือป้องกันปัญหาสุขภาพได้ ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร องค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) ได้ให้ความหมายของคำ �ว่า “ฝุ่นขนาดเล็ก (Particulate Matter หรือ PM)” ไว้ว่า ฝุ่นขนาดเล็กคือ “อนุภาคต่างๆ ที่อาจจะเป็นของแข็ง หรือ ของเหลวของสารอินทรีย์ (Organic Substance) และสารอนินทรีย์ (Inorganic Substance) ชนิดต่างๆ ที่แขวนลอยอยู่ในอากาศ สามารถ ใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพของอากาศ ณ บริเวณนั้นๆ ได้” และเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2564 องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศเกณฑ์ แนะนำ �คุณภาพอากาศ (Air Quality Guidelines - AQG) ฉบับใหม่ ขึ้นมา ซึ่งเป็นการประกาศในรอบ 15 ปี เพื่อให้ประเทศต่างๆ ใช้เป็น แนวทางในการนำ �ไปใช้แก้ปัญหาเพื่อปรับลดระดับมลพิษทางอากาศและเพื่อ ปกป้องสุขภาพของประชาชนในประเทศของตน โดยระบุไว้ว่า “ฝุ่น PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร ( μ m) (หรือ ฝุ่นที่มีขนาดน้อยกว่า 2.5 ในล้านเมตร) ที่สามารถเข้าไปในปอดและผ่าน เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ส่งผลกระทบต่อระบบหมุนเวียนเลือดและ ระบบหายใจ รวมทั้งยังสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากการขนส่ง จากการผลิตพลังงานในระดับ อุตสาหกรรม จากในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ จากครัวเรือน และจาก กิจกรรมต่างๆ ในภาคการเกษตร” และที่หลายคนอาจจะลืมนึกไป หรือ คาดไม่ถึงก็คือ “เมื่อปี พ.ศ. 2556 องค์กรที่ทำ �หน้าที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ มะเร็ง ซึ่งเป็นองค์กรหน่วยย่อยขององค์การอนามัยโลกได้จัดให้มลพิษทาง อากาศและฝุ่นขนาดเล็กเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen)” จากการตรวจวัดและประมาณค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของ ทั้งโลกพบว่าความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 จะมีค่าสูงในพื้นที่ที่มีประชากร อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริเวณนั้นๆ มักจะมี การเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจากสภาพธรรมชาติเป็น สภาพของสังคมเมืองและเขตอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลทำ �ให้มีการเผาไหม้ เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้น จากภาคบริการต่างๆ ในเมือง เช่น การคมนาคม ขนส่งและภาคการผลิตสินค้าต่างๆ (Ji et al., 2018) ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา เสื้อผ้า สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำ �วัน ดังนั้น ในสังคมเมืองซึ่งจะมีการใช้ สินค้าและบริการต่างๆ มากกว่าสังคมในชนบทก็จะมีผลทำ �ให้เกิดฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าครอบครัวที่มีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำ � จะได้รับ ผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 มากกว่าครอบครัวที่รายได้สูง (Ji et al., 2018) ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายได้ ของครอบครัว เช่น สภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่อาศัย รูปแบบของ การใช้ชีวิต ลักษณะของบ้านที่อยู่อาศัย และความสามารถในการซื้อ อุปกรณ์ต่างๆ สำ �หรับการป้องกันฝุ่น PM 2.5 นั่นเอง ปัญหามลพิษทางอากาศในอดีต และปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) คือ การปนเปื้อนของอากาศ ในสิ่งแวดล้อมด้วยสารเคมี สิ่งปนเปื้อน อนุภาคหรือวัสดุชีวภาพขนาดเล็ก ชนิดต่างๆ ที่ล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศจนทำ �ให้คุณภาพอากาศลดลง จากมาตรฐานที่กำ �หนดไว้ ในอดีตก่อนที่มนุษย์จะพัฒนาเป็นระบบสังคมเมือง พบว่าปัญหามลพิษทางอากาศจะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟ ภาพจาก: https://primocare.com/en/pm-2-5-air-pollution-and-the-impacts/
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5