นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 247
44 นิตยสาร สสวท. จากรายงานการวิจัยที่เก็บข้อมูลปริมาณฝุ่น PM 2.5 การเสียชีวิต และข้อมูลเกี่ยวกับอากาศจากบริเวณต่างๆ (5 เขตในชุมชนเมือง และ 2 เขตที่อยู่นอกเขตชุมชนเมือง) ตลอดทั้งปีเป็นเวลา 1 ปี ในนครเป่ยจิง (Beijing หรือที่คนไทยเรียกว่า เมืองปักกิ่ง) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศจีนพบว่า ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 สะสมเป็นเวลานานและมีค่าเกินค่ามาตรฐาน (35 μ g/m3) ที่ กำ �หนดไว้โดยองค์การอนามัยโลกมากถึง 22 เท่า โดยในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ผู้คนเดินทางมาทำ �งานในตอนเช้าและเย็น ค่าฝุ่น PM 2.5 มีค่าสูง มากกว่า 800 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ( μ g/m3) นอกจากนี้ ยังพบว่า หมอกควัน (Smog) ที่มีฝุ่น PM 2.5 กระจายตัวอยู่มีผลทำ �ให้อัตราการ เสียชีวิตของคนในเมืองมีค่าเพิ่มสูงขึ้น 6.94% แต่ในเขต Ci County ที่ทำ �การเก็บข้อมูล พบอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงถึง 19.26% (Zhoe et al., 2015) โดยไปมีผลทำ �ให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณที่มีหมอกควันที่มีฝุ่น PM 2.5 เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases) และโรคระบบ ทางเดินหายใจ (Respiratory Diseases) (Zhoe et al., 2015; Li et al., 2022) ประเทศไทยเริ่มประกาศใช้ค่ามาตรฐานของค่าดัชนีคุณภาพ อากาศ (AQI ที่ย่อมาจาก Air Quality Index) ของฝุ่น PM 2.5 ใหม่ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยกำ �หนดให้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้องมีค่าไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (จากเดิมที่เคยใช้อยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และค่าเฉลี่ยในเวลา 1 ปี ต้องมีค่า ไม่เกิน 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (จากเดิมคือ 25 ไมโครกรัมต่อ ลูกบาศก์เมตร) สำ �หรับภาคเหนือของประเทศไทย ในทศวรรษที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 มีค่าสูงเกินมาตรฐานที่กำ �หนดไว้ และเริ่มส่งผลกระทบ ต่อสุขภาพประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนมากขึ้น ผลจากการศึกษาวิจัย และทำ �นายผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชนในจังหวัด เชียงใหม่ โดยใช้โปรแกรม the Nest Regional Climate Model with Chemistry (NRCM-Chem) พบว่าในช่วง ค.ศ. 2020 - 2029 เยาวชน ในทุกๆ กลุ่มอายุจะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเด็กแรกเกิด (Infants) จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเมื่อเทียบกับเด็กที่กำ �ลังเริ่มคลาน (Toddlers) เด็กเล็กก่อนวัยเรียน (Young Children) เด็กวัยเรียน (School Age) และวัยรุ่น (Adolescents) และในกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ หรือความเสี่ยงต่อสุขภาพน้อยที่สุด (Amnuaylojaroen & Parasin, 2023) โดยฝุ่น PM 2.5 เมื่อหายใจเข้าไปในปอดจะสามารถผ่านเข้าสู่ระบบเลือด ได้โดยตรง และจากข้อมูลทางสถิติ ค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM 2.5 ในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน อยู่ในช่วง 14 - 400 μ g/m3 ซึ่งสูงกว่าปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ที่พบอยู่ในช่วง 10 - 24 μ g/m3 (Amnuaylojaroen, Parasin, & Limsakul, 2022) เมื่อหายใจนำ �ฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายจะเป็นสาเหตุทำ �ให้เกิดโรคทั้งในระบบหมุนเวียนเลือดและ ระบบหายใจ (Zhoe et al., 2015; Li et al., 2022) และฝุ่น PM 2.5 สามารถเดินทางผ่านมาทางเลือดเข้าสู่สมองได้โดยตรง เร่งทำ �ให้เกิด โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจาก หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และโรคสมองที่เป็นผลมาจากเซลล์ ประสาทสมองได้รับความเสียหายหรือถูกทำ �ลายมีผลกระทบต่อความสามารถ ในการจดจำ �สิ่งต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Dementia) (Li et al., 2022) ขนาดของอนุภาคฝุ่น PM 2.5 และ Virus กับการเลือกชนิดของหน้ากาก อนามัย จากที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าขนาดของอนุภาคฝุ่น PM 2.5 หมายถึง ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า ส่วนขนาดของไวรัส โดยทั่วไปจะมีขนาดอยู่ระหว่าง 0.02 - 0.3 μ m โดยไวรัสโควิด (SAR-CoV-2) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า จะมีขนาดประมาณ 0.1 μ m ดังนั้น การเลือกหน้ากาก อนามัยให้เหมาะกับจุดประสงค์ในการใช้งานของเราก็จะทำ �ให้เรา ปลอดภัยจากทั้งปัญหาฝุ่น PM 2.5 และไวรัสชนิดต่างๆ โดยเราสามารถ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในแต่ละพื้นที่ ได้จากเว็บไซต์ https://www.iqair.com/th/thailand หรือ https://aqicn.org/city/thai- land/ ก่อนออกไปทำ �กิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน เพื่อนำ �ข้อมูลคุณภาพอากาศ มาประกอบกับการเลือกใช้ชนิดของหน้ากากอนามัยในแต่ละวัน โดยทั่วไปแล้ว หน้ากากอนามัยแบบผ้าจะสามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ ประมาณ 50 - 70% แต่ไม่สามารถกรองไวรัสได้ ส่วนหน้ากากอนามัย ทางการแพทย์แบบ 3 ชั้น จะสามารถกรองทั้งอนุภาคฝุ่น PM 2.5 และ อนุภาคของไวรัส ได้ประมาณ 60 - 80% และหน้ากากอนามัย N95 ที่ สามารถป้องกันทั้งอนุภาคฝุ่นและไวรัสได้มากกว่า 95% ประสิทธิภาพ ในการป้องกันจะขึ้นกับลักษณะของหน้ากากว่าปิดแนบชิดกับใบหน้า ได้มากหรือน้อย การใส่หน้ากากของแต่ละคนนั้น ไม่ว่าจะเลือกใช้หน้ากาก อนามัยประเภทใด สิ่งสำ �คัญที่ต้องคำ �นึงถึงเสมอก็คือ ในการใช้หน้ากาก อนามัยทุกๆ แบบ ผู้ใช้ต้องคอยระมัดระวังใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง ตามวิธีการที่แนะนำ � และต้องคอยระวังไม่ให้หน้ากากอนามัยเผยอ เกิด ช่องว่าง หลุดต่ำ �ลงมา หรือเปิดแยกออกจากใบหน้า ซึ่งจะมีผลทำ �ให้ ประสิทธิภาพในการป้องกันทั้งฝุ่น PM 2.5 และอนุภาคของไวรัสลดลง ปัญหาในลักษณะนี้จะพบได้มากกับเด็กประถม เนื่องจากเด็กๆ ยังไม่มี ความเข้าใจและตระหนักถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนเองมาก เท่ากับผู้ใหญ่ ประกอบกับพฤติกรรมของเด็กที่มักจะเล่น พูดคุยกัน ตลอดเวลา การใส่หน้ากากอนามัยของเด็กทำ �ให้เกิดความไม่คล่องตัว ในการทำ �กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำ �วัน เราจึงมักเห็นหน้ากากอนามัย หลุดลงมาอยู่ที่คางบ่อยครั้ง การลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 แบบยั่งยืน เพื่อลดการแพร่กระจายของฝุ่น PM 2.5 ในชั้นบรรยากาศ ภาครัฐจำ �เป็นต้องเปลี่ยนทั้งนโยบายและรูปแบบของการใช้พลังงานใหม่ โดยต้องจัดหาแหล่งพลังงานสะอาดมาใช้ทดแทนพลังงานจากการ เผาไหม้ถ่านหินในโรงไฟฟ้า พร้อมๆ ไปกับการส่งเสริมให้ประชาชนเลิกใช้ พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงมวลชีวภาพ เช่น ไม้ ถ่าน ที่ถูกนำ �มา ใช้ในการประกอบอาหาร เปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแก๊ส LPG (Liquid
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5