นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 248
40 นิตยสาร สสวท. อ ย่างไรก็ตาม พบว่าในปัจจุบันมีเด็กจำ �นวนมากใช้เวลาอยู่กับ สมาร์ตโฟนเพิ่มมากขึ้นจนทำ �ให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบ ที่อาจจะมีต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กด้วยเช่นกันจากสื่อที่ ไม่มีคุณภาพและสื่ออันตรายประเภทต่างๆ ที่อยู่ในโลกออนไลน์ จึงมี ความพยายามที่จะสร้างความตระหนักในการจัดการให้มีการใช้ สมาร์ตโฟนของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำ �ให้เกิดการส่งเสริม พัฒนาการที่เหมาะสมหรือดีที่สุดสำ �หรับเด็กโดยมีการนำ �เอากลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ร่วมด้วย เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง (ซึ่งเป็นเรื่องที่สำ �คัญมาก) การกำ �หนดเวลาในการใช้สมาร์ตโฟนหรือเวลาที่จะให้เด็กๆ อยู่กับหน้าจอ และการส่งเสริมการเล่นสมาร์ตโฟนแบบที่ต้องลงมือปฏิบัติและการมี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็ก โดยต้องมีผู้ดูแลเด็กหรือครูที่สามารถเข้ามา มีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำ �ให้เกิดการส่งเสริมการเรียนรู้และ พัฒนาการของเด็กที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพได้ รวมทั้งผู้ดูแลเด็กหรือ ครูเองก็ต้องมองไปถึงประเด็นความเสี่ยงหรือผลกระทบทางด้านลบจาก การใช้สมาร์ตโฟนของเด็กที่ได้จากงานวิจัยต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย มีงานวิจัยจำ �นวนมากที่เผยแพร่ผ่านสื่อ และได้สะท้อนให้เห็นถึง ผลของการใช้สมาร์ตโฟนในเด็กระดับประถมศึกษาที่มีต่อทักษะการเรียนรู้ และพัฒนาการทางด้านต่างๆ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยจะเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุของเด็ก เนื้อหาของสื่อ ลักษณะของ การเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ (Xie et al., 2018) และด้วย การบริหารจัดการในลักษณะที่มองทั้งในมุมของการส่งเสริมและผลกระทบ ทางด้านลบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจะทำ �ให้ผู้ดูแลเด็กหรือครู สามารถให้คำ �แนะนำ �และการสนับสนุนที่เหมาะสมกับผู้ปกครองได้ ประเด็นสำ �คัญอีกประเด็นที่ต้องคำ �นึงถึงก็คือ เด็กแต่ละคนมี ความต้องการในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และอาจจะตอบสนองต่อการใช้ สมาร์ตโฟนได้แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ดูแล หรือครู จำ �เป็นต้องปรับแต่ง วิธีการที่ใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กให้ตรงกับความต้องการ สอดคล้อง กับพัฒนาการของเด็ก และสถานการณ์ต่างๆ ของเด็กแต่ละคนได้ ความน่าสนใจและความเสี่ยงในการใช้สมาร์ตโฟน ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าสมาร์ตโฟนสามารถดึงดูดเด็กเล็ก ได้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น มีสีสันสดใส มีเกมแบบโต้ตอบและให้ ความสนุกสนานหรือความพึงพอใจที่ได้ใช้ แต่ขณะเดียวกันก็นำ �มาซึ่ง ความเสี่ยงที่สำ �คัญที่จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ด้วย มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปส่งผลทำ �ให้คุณภาพชีวิตของเด็กๆ ลดลง เนื่องจากการใช้เวลาไปกับสมาร์ตโฟนมากทำ �ให้เกิดปัญหาการนอนหลับ ของเด็กไม่เพียงพอ ปัญหาทางด้านการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ของเด็ก ปัญหาความล่าช้าในด้านพัฒนาการทางสังคมของเด็ก และสุดท้าย จะส่งผลต่อปัญหาทางด้านการเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Radesky & Christakis, 2016; Mascia et al., 2020; Panjeti-Madan & Ranganathan, 2023) นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบที่ทำ �ให้เกิดโรคอ้วน และมีการแสดงออก ของพฤติกรรมก้าวร้าว (Radesky & Christakis, 2016) การหาจุดสมดุล: แนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลาย แนวทางในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนสำ �หรับเด็ก ก็คือ ตัวเด็กเองต้องได้รับการพัฒนาทางด้านความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence - EQ) เพื่อทำ �ให้เกิดความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้ก็จะทำ �ให้สามารถ ควบคุมตนเองในเรื่องของการใช้สมาร์ตโฟนในรูปแบบสมดุลได้ (Mascia et al., 2020) วิธีการนี้ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายในตัวของเด็กเองขึ้นมา ซึ่งจะให้ผลดีกว่าการที่ผู้ปกครองจะสร้างกฎเพื่อการบังคับหรือการกำ �หนด ข้อปฎิบัติให้กับเด็ก ในยุคดิจิทัลนี้ สิ่งสำ �คัญที่สุดก็คือ การหาจุดสมดุลที่ลงตัวใน การใช้เทคโนโลยี ซึ่งการจะทำ �ให้สำ �เร็จได้นั้นต้องมีการเลือกและการปรับใช้ วิธีการที่หลากหลาย (Radesky & Christakis, 2016) เช่นเดียวกับ การสร้างสมดุลของการใช้เทคโนโลยีผ่านสมาร์ตโฟนของเด็กๆ ก็เป็นเรื่อง ที่ต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายเหมือนกัน เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับ พฤติกรรมของเด็กแต่ละคน เข้ากันได้อย่างลงตัวกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ของเด็ก ยิ่งผู้ปกครองสร้างพฤติกรรมหรือนิสัยที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ จะยิ่งช่วยพัฒนานิสัยและพฤติกรรมในการใช้สมาร์ตโฟนไปในทางที่ดีได้ Radesky & Christakis (2016) ได้เสนอแนะวิธีการเปลี่ยนนิสัย การใช้มือถือหรือเวลาที่เด็กๆ อยู่กับหน้าจอไว้ว่า การที่ผู้ปกครองจะ กำ �หนดเวลาการใช้สมาร์ตโฟนหรือเวลาที่ยอมให้เด็กอยู่กับหน้าจออย่าง ชัดเจนนั้นเป็นกลยุทธ์ที่สำ �คัญอย่างยิ่งสำ �หรับผู้ปกครอง เพราะข้อกำ �หนดนี้ จะทำ �ให้เด็กสามารถมีเวลาไปทำ �กิจกรรมสำ �คัญอื่นๆ ที่จำ �เป็นต่อพัฒนาการ ของเด็กได้ โดยผู้ปกครอง ผู้ดูแล หรือครู สามารถกำ �หนดพื้นที่และช่วงเวลา ปลอดสมาร์ตโฟนได้ เช่น ในเวลากินข้าวกับครอบครัวห้ามทุกคนใช้ ภาพจาก: https://thehill.com/changing-america/well-being/mental-health/473048-how- many-kids-have-smartphones-even-more-than-you/
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5