นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 249

14 นิตยสาร สสวท. Concrete Experience Feeling Thinking Perception Continuum Processing Continuum Watching Doing Abstract Conceptualisation Active Experimantation Accommodating Feel and Do Feel and Watch Think and Do Thank and Watch Diverging Coveraging Assimilating Reflective Observation ภาพ 1 ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning Theory) โดย David Kolb ที่มา: https://www.communicationtheory.org/experiential-learning-kolbs-learn- ing-styles-and-cycle/ ไวกอตสกี้ (Vygotsky) ให้ความสำ �คัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม สนใจ การทำ �งานเป็นกลุ่ม การสนทนา การถาม การอธิบายและการประชุมตกลง ซึ่งเขาถือว่าเป็นกิจกรรมการสร้างความรู้ร่วมกัน และกล่าวถึงการเรียนรู้ ของเด็กว่าไม่ได้เกิดจากการสำ �รวจสิ่งแวดล้อมแต่เพียงลำ �พังแต่การเรียนรู้ จะมีผลมาจากความต้องการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นของผู้เรียน (สุนันทา ศิริวัฒนานนท์, 2544) การเรียนรู้เป็นกระบวนการลงมือทำ � (Active Process) ที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล ซึ่งความรู้จะถูกสร้างด้วย ตัวผู้เรียนเองจากข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ร่วมกับข้อมูลหรือความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งประสบการณ์เดิมมาสร้างความหมายในการเรียนรู้ของตนเอง ประสบการณ์ของผู้เรียนจะถูกนำ �มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ และจะมีผล โดยตรงต่อการสร้างความรู้ใหม่และแนวคิดใหม่ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐานยังอยู่ภายใต้ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning Theory) โดย David Kolb (Saul McLeod,2017) การเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) คือ กระบวนการ สร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำ �เอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ ขึ้น โดยมีจุดเด่นคือ การทบทวน ประสบการณ์หรือนำ �สิ่งที่ลงมือทำ �มาตกผลึกความคิดเพื่อให้ได้รับรู้ถึง ความรู้ใหม่ที่ได้รับเป็นการนำ �ไปต่อยอดความรู้เดิม หรือ สามารถนำ �ไปปรับใช้ ในบริบทอื่นๆ สำ �หรับตัวเอง การที่เรามีประสบการณ์แต่ไม่ได้ตกผลึกจะทำ �ให้ ความรู้นั้นไม่ยั่งยืน การเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้งทำ �ให้เกิดการจดจำ �จน สามารถนำ �ความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง ซึ่งการเรียนรู้จากประสบการณ์มี 4 ขั้นตอน คือ (Bedri Zeinab, 2017) 1. การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (Concrete Experience: CE) โดยการเรียนรู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นเมื่อผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติซึ่งจะทำ �ให้ผู้เรียน ได้สัมผัส “ธรรมชาติที่แท้จริงขององค์ความรู้นั้น” ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเรียนการสอนในห้องเรียน การศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชน การอ่าน หนังสือ การทำ �กิจกรรม การทดลอง การเล่น โดยกิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เกิดการจดจำ � และสามารถนำ �ความรู้ไป ประยุกต์ใช้ได้จริง 2. การสะท้อนการเรียนรู้/ทบทวนการเรียนรู้ (Reflective Observation: RO) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนจะมีการสะท้อนคิด (Reflection) คือ ได้วิเคราะห์ ประเมินผล และตีความประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผ่านมา ซึ่งกระบวนการ เรียนรู้จะต้องมีการจัดสรรเวลาในขั้นตอนนี้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างวิธีการ สะท้อนคิด เช่น การเขียนสรุปสิ่งในที่เรียนรู้ การบันทึกการเรียนรู้ การทำ �การบ้าน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน 3. การสรุปองค์ความรู้ (Abstract Conceptualization: AC) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนจัดวางองค์ความรู้ใหม่ผสานกับองค์ความรู้เก่าด้วย ตนเอง โดยต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตกผลึกหรือสรุป ออกมาเอง ตัวอย่างวิธีการสรุปองค์ความรู้ เช่น การเขียนแผนภาพมโนทัศน์ (Mind Mapping) การสรุปการเรียนรู้ออกมาเป็นรูปแบบหรือกรอบความคิด การนำ �เสนอผลการเรียนรู้ของผู้เรียน 4. การประยุกต์ใช้ความรู้ (Active Experimentation: AE) ผู้เรียน จะลงมือปฏิบัติอีกครั้งเพื่อทดสอบการเรียนรู้ของตนเองว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่ หากมีข้อที่ไม่เข้าใจหรือมีความเข้าใจผิดก็สามารถปรับปรุงได้ นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์สามารถวนกลับไปหลายๆ รอบได้ ดังภาพ 1 อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้ไม่มีข้อกำ �หนดที่ระบุตายตัว ขึ้นอยู่กับบริบทและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมหรือเป้าหมายการเรียนรู้ที่ เฉพาะเจาะจง ชุมชนแต่ละท้องถิ่นมีความหลากหลาย ตั้งแต่บนเขาลงมาสู่ พื้นราบต่อถึงชายฝั่งทะเลซึ่งชุมชนแต่ละแห่งได้มีการเรียนรู้ สั่งสม สืบทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์ชีวิต ผ่านการเผชิญหน้ากับกระแสการ เปลี่ยนแปลงและปรับตัวมาอย่างยาวนาน ผ่านกระบวนการแห่งชีวิตที่ดำ �เนินมา อย่างไม่ขาดสาย ชุมชนจึงเหมือนห้องเรียนมีชีวิต ห้องเรียนภูมิปัญญาที่อยู่ใน วิถีการปฏิบัติที่เป็นจริง ดังนั้น การนำ �ไปใช้จะต้องระบุกลยุทธ์และเป้าหมาย การจัดการเรียนรู้อย่างชัดเจน หลักการและแนวทางการจัดการศึกษาแบบชุมชน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานยังมีเงื่อนไขสำ �คัญที่ทำ �ให้ ประสบผลสำ �เร็จหลายประการ เช่น ชุมชนต้องให้ความร่วมมือหรือให้การส่งเสริม สนับสนุน และมีส่วนร่วม ผู้เรียนต้องเรียนรู้และลงมือทำ �กิจกรรมจริง มีการยึดหยุ่นเวลาในการจัดในชุมชนเพื่อเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ฝึกการคิด และการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงที่พบในชุมชน (ศรีวรรณ ฉัตรสุริยวงศ์, 2557) การสร้างเครือข่ายทางการศึกษา กระบวนการทำ �งานร่วมกันระหว่าง เครือข่าย และการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนและผู้เรียน (มณฑล จันทร์แจ่มใส, 2558) จึงสามารถสรุปได้ว่าการจัดการศึกษาโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ควรคำ �นึง ถึง 6 ข้อ ดังนี้ 1) ศักยภาพของชุมชน 2) บุคคลในชุมชน และบุคลากรในโรงเรียน 3) ความต้องการพัฒนาในท้องถิ่น

RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5