นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 249

48 นิตยสาร สสวท. เทศกาลทานาบาตะ หากกล่าวถึงเทศกาลแห่งความรัก หลายท่านมักจะนึกถึงเทศกาลวันวาเลนไทน์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ในเดือนกรกฎาคม ก็มีเทศกาลแห่งความรักเช่นกัน เทศกาลทานาบาตะ ( 七夕祭り - ทานาบาตะ มัทสึริ) เป็นเทศกาลแห่งความรักที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง ในทุกๆ วันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี ตำ �นานเรื่องเล่าของเทศกาลทานาบาตะได้รับอิทธิพลมาจากตำ �นานเทศกาลชีซี่ ( 七夕节 - ชีซี่เจี๋ย) ของประเทศจีน โดยกล่าวถึงเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงทอผ้า “โอริฮิเมะ” กับหนุ่มเลี้ยงวัว “ฮิโกโบชิ” เมื่อทั้งสองได้พบรักกัน ต่างคนต่างละทิ้งหน้าที่ของตนเองทำ �ให้บิดาของเจ้าหญิงทอผ้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งลงโทษให้ทั้งสองต้องแยกจากกันด้วยแม่น้ำ � แห่งสวรรค์ เจ้าหญิงทอผ้าจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก บิดาของเจ้าหญิงทอผ้าเกิดความสงสาร จึงอนุญาตให้ทั้งสองได้พบกันปีละ หนึ่งครั้งในวันที่ 7 เดือนกรกฎาคมของทุกปี แต่ทั้งสองกลับไม่สามารถข้ามแม่น้ำ �มาพบกันได้ ฝูงนกกางเขนจึงใช้ตัวเองเป็นสะพาน ให้โอริฮิเมะกับฮิโกโบชิได้ข้ามแม่น้ำ �มาพบกัน (พัชริดา ยั่งยืนเจริญสุข, 2564) อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นก็ให้ความสำ �คัญกับ เทศกาลทานาบาตะเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น เช่น การอธิษฐานขอพรด้วยกระดาษ ทังซะคุ (Tanzaku) การประดับตกแต่งถนนด้วยโคมไฟหลากสี การแต่งกายด้วยชุดยูกาตะ (Yukata) (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว แห่งประเทศญี่ปุ่น, 2560) จะเห็นได้ว่า ตำ �นานความรักในเทศกาลทานาบาตะมีรายละเอียดที่ปรากฏเอกลักษณ์เฉพาะ และสามารถ นำ �มาบูรณาการจัดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับวิทยาศาสตร์โดยผ่านกิจกรรมสะเต็มศึกษาได้ บทความนี้จึงมุ่ง นำ �เสนอตัวอย่าง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา โดยใช้เทศกาลทานาบาตะเป็นมุมมองหลักในการออกแบบแนวทาง การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ สะเต็มศึกษา สะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นการบูรณาการความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรม หรือแก้ปัญหา ผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม (Bybee, 2013; King & English, 2016) เป้าหมายสำ �คัญของการจัดการเรียนรู้ ตามแนวทางสะเต็มศึกษา ครอบคลุมการพัฒนาการคิดขั้นสูง (Baharin, Kamarudin, & Manaf, 2018) การทำ �งานเป็นทีม (Roehrig, Dare, Ring-Whalen, & Wieselmann, 2021) รวมทั้งการเชื่อมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (Kandil, 2021) อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสามารถดำ �เนินการได้หลากหลายแนวทาง ผู้เขียนได้นำ �เสนอ การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา โดยใช้การออกแบบทางวิศวกรรมแบบ SLED (The Science Learning through Engineering Design (SLED) Model for Engineering Design) (Capobianco, Nyquist, & Tyrie, 2013) ซึ่งมีจุดเน้นที่การประยุกต์ความรู้ วิทยาศาสตร์ในการออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา และเพื่อให้นักเรียนได้ประยุกต์ความรู้วิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ผู้เขียนจึงกำ �หนด ให้นักเรียนใช้แนวคิดการเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimicry) มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาตามสถานการณ์ ที่กำ �หนด ขั้นตอนของกิจกรรม กิจกรรมหลักตามการออกแบบทางวิศวกรรมแบบ SLED 1. ระบุปัญหา (Identify Problem) 2. แลกเปลี่ยนและวางแผน (Share and Develop a Plan) 3. สร้างและทดสอบ (Create and Test) 4. นำ �เสนอและรับฟังข้อเสนอแนะ (Communicate Results and Gather Feedback) 5. ปรับแนวทางการแก้ปัญหาและทดสอบซ้ำ � (Improve and Retest) นักเรียนแต่ละกลุ่มระบุปัญหาหลักที่ปรากฏในสถานการณ์ และระบุความจำ �เป็นของกลุ่มลูกค้า และกลุ่มผู้ใช้งาน นักเรียนรายบุคคลศึกษาข้อมูลเพื่อระดมความคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ปรากฏในสถานการณ์และ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา จากนั้นแบ่งปันข้อมูลกับสมาชิกในกลุ่ม เพื่อนำ �สู่การเลือกแนวทางการแก้ปัญหาของกลุ่มที่เหมาะสมที่สุดเพียง 1 แนวทาง นักเรียนแต่ละกลุ่มดำ �เนินการสร้างแนวทางแก้ปัญหา รวมทั้งออกแบบการบันทึกผลการทดสอบ ดำ �เนินการทดสอบ และใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการอภิปรายผลการทดสอบ นักเรียนแต่ละกลุ่มแบ่งปันผลการทดสอบให้กับกลุ่มอื่น และกลุ่มอื่นให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อใช้เป็น ข้อมูลในการปรับแก้ไขแนวทางการแก้ปัญหา นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันปรับแก้ไขแนวทางการแก้ปัญหา และดำ �เนินการทดสอบแนวทางการแก้ ปัญหาที่ปรับแก้ไขแล้ว กิจกรรมหลัก

RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5