นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 250
ปีที่ 52 ฉบับที่ 250 กันยายน - ตุลาคม 2567 11 Autonomous Social inclusion คือ การให้เด็กมีอิสระใน การเลือกวิธีการค้นคว้าและสืบเสาะหาคำ �ตอบ กำ �หนดวิธีการหาคำ �ตอบ ว่าจะลงมือทำ �อย่างไรเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และกระตือรือร้น ในการเรียนรู้ Social inclusion คือ การทำ �ให้เด็กได้ทำ �งานร่วมกับทีม สร้าง ความสามัคคีและความภูมิใจในตนเอง โดยกิจกรรมเน้นการทำ �งานเป็น กิจกรรมกลุ่มร่วมกัน เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่ใช่มีใครคนใด คนหนึ่งเป็น One Man Show Success เป็นสิ่งที่สำ �คัญมาก ต้องมีกิจกรรมที่ท้าทายพอเหมาะ ไม่ง่ายหรือยากเกินไปจนเด็กเบื่อ หรือเกิดเป็นปมในใจว่าทำ �อะไรไม่สำ �เร็จ ไม่อยากทำ � กิจกรรมมุ่งหวังเพื่อให้เด็กได้สัมผัสความสำ �เร็จและไม่ท้อแท้ แนวทางจัดกิจกรรมของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ต่อยอดจากหลักการสอน 2 ประการ คือ การเรียนรู้ร่วมกัน (Co-construction) และ การรู้คิด (Metacognition) โดย การเรียนรู้ร่วมกัน คือ การที่เด็กสร้าง ความรู้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น เช่น เพื่อน ครู ผู้ปกครอง และสิ่งรอบตัว ส่วน การรู้คิด คือ การสะท้อนความคิดและสิ่งที่เรียนรู้ผ่าน การบันทึก ซึ่งสำ �หรับเด็กปฐมวัยอาจใช้การวาดภาพ เล่าเรื่อง หรือปั้น ดินน้ำ �มันแทนการเขียน ปัจจุบันโครงการฯ เน้นการส่งเสริมสะเต็มศึกษา ทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี สำ �หรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา โดย พัฒนาเนื้อหาและกิจกรรมที่ครอบคลุมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาการคำ �นวณ และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาสมรรถนะและการ เรียนรู้อย่างยั่งยืน ดร.เทพกัญญา พรหมขัติแก้ว อาจารย์ประจำ �ศูนย์วิทยาศาสตร์ ศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึงสมรรถนะตามวัยของเด็ก ปฐมวัยหมายถึงความสามารถหรือพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กในช่วง อายุ 3 - 5 ปี ที่สอดคล้องกับการเติบโตทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา โดยในช่วงวัยนี้ เด็กจะเริ่มพัฒนาความสามารถที่สำ �คัญต่อ การใช้ชีวิตและการเรียนรู้ในอนาคต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายด้าน สมรรถนะของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาตามวัย 3 - 5 ปี แบ่งเป็น 7 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านเคลื่อนไหวและสุขภาวะร่างกาย เด็กในวัยนี้ควรมี พัฒนาการทางร่างกายที่เหมาะสม เช่น การเคลื่อนไหว การทรงตัว และ การประสานงานของร่างกาย เช่น การวิ่ง การกระโดด การใช้มือในการจับถือ สิ่งของได้อย่างคล่องแคล่ว การประสานมือและตา รวมถึงการเคลื่อนไหว แบบละเอียด เช่น การเขียนหรือการวาดรูป 2. ด้านสังคม เด็กเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เด็กวัยนี้จะเริ่ม เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน การเล่นร่วมกัน การแบ่งปัน และ การเข้าใจบทบาททางสังคมในบริบทต่างๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การรอคอยและการฟังผู้อื่น 3. ด้านอารมณ์และจิตใจ เด็กจะเริ่มมีการรับรู้และแสดงอารมณ์ ได้อย่างชัดเจนขึ้น เช่น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ รู้จักการแบ่งปัน การอภิปรายเริ่มจากผู้อำ �นวยการฝ่ายวิชาการ สวทช. คุณฤทัย จงสฤษดิ์ กล่าวถึงความเป็นมาและแนวทางของโครงการบ้านนัก วิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2552 ตาม พระราชดำ �ริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หลังจากทรงทอดพระเนตรโครงการในเยอรมนี โดย เริ่มต้นจากกิจกรรมการทดลองเรื่อง “น้ำ �” เพื่อให้เด็กสนุกกับวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำ �วัน เน้นการเรียนรู้ตามพัฒนาการของเด็กใน ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา ผ่าน 3 วิสัยทัศน์หลักของโครงการ ได้แก่ Questioning (การตั้งคำ �ถาม) เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของเด็ก Inquiring (การค้นคว้า) เพื่อส่งเสริมกระบวนการคิดตามวิธีวิทยาศาสตร์ และ Shaping the Future (การสร้างอนาคต) เพื่อพัฒนาเด็กให้พร้อมรับมือ กับโลกอนาคต เริ่มจาก Questioning เด็กมักอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ครูควรเปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งคำ �ถาม และหากยังไม่สงสัย ครูสามารถ กระตุ้นด้วยคำ �ถามที่ท้าทาย Inquiring ส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าและหาคำ �ตอบ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การเปรียบเทียบ การ จำ �แนกประเภท และ Shaping the Future สนับสนุนให้เด็กออกแบบ อนาคตของตนในสภาพสังคมที่สลับซับซ้อน เป้าหมายของโครงการบ้าน นักวิทยาศาสตร์น้อยไม่เพียงเน้นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แต่ยังส่งเสริม ทักษะและทัศนคติที่สำ �คัญ เช่น ความรักในวิทยาศาสตร์ ความตื่นเต้น ในการเรียนรู้ และการพัฒนาทักษะทั้งทางกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา ครูมีบทบาทสำ �คัญในการสนับสนุนศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเด็ก แม้แต่ละคน จะมีความสามารถแตกต่างกัน แต่เด็กทุกคนมีความอยากเรียนมีความ ช่างสงสัย อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ รู้และพัฒนาศักยภาพใหม่ๆ ได้รวดเร็วหาก ได้รับโอกาสที่เหมาะสม โดยครูต้องเข้าใจและเชื่อมั่นในตัวเด็ก โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยจึงมีความเชื่อและมุมมองต่อเด็ก ดังนี้ • เด็กเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้และทักษะ • เด็กต้องการที่จะรู้ • เด็กเล่นบทบาทเป็นผู้กระทำ �เพื่อที่จะสร้างการเรียนรู้และ พัฒนาตนเอง • เด็กแต่ละคนแตกต่างกันเพราะบรรทัดฐานส่วนบุคคลและ บุคลิกภาพ • เด็กมีสิทธิส่วนบุคคล คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ยังเพิ่มเติมอีกว่าสำ �หรับเด็กปฐมวัย “เด็กไม่ใช่ แจกันที่รอให้คนมาเติมน้ำ � แต่เป็นไฟที่รอให้คนมาจุด” ซึ่งหมายความว่าเด็ก ไม่ได้รอให้ครูมามอบความรู้ให้ แต่รอครูมาช่วยจุดไฟแห่งการเรียนรู้ ให้เด็กสนใจและอยากเรียนรู้นั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่มุ่งเน้นพัฒนา สมรรถนะและการเรียนรู้อย่างยั่งยืน ดังนั้น เมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเด็กแล้วเราควร จัดสภาพแวดล้อมที่จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก โดยสภาพแวดล้อม ไม่ได้หมายถึงแค่อาคาร ห้องเรียน บ้าน แต่หมายรวมถึงบรรยากาศ สิ่งแวดล้อม เหตุการณ์รอบๆ ความสัมพันธ์ของเพื่อน ครู ที่เกิดผลต่อเด็ก สภาพแวดล้อม ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่ดีควรมี 3 ลักษณะสำ �คัญดังนี้
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5