นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 253

ปีที่ 53 ฉบับที่ 253 มีนาคม - เมษายน 2568 13 ซึ่งปีแรกได้เรียนเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีจากหลายคณะ ไม่ว่าจะเป็น ฟิสิกส์ เคมี วิศวะฯ หรือวัสดุศาสตร์ ทำ �ให้ผมได้รับความรู้นอกเหนือ จากวิชาเคมีอย่างเดียว นอกจากนั้นยังมีการสอนด้านการประยุกต์ไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจที่จำ �เป็นต่อนักวิทยาศาสตร์ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การจดสิทธิบัตร การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ การเขียนโค้ด จากคน ที่เคยสนใจด้านเคมีเป็นหลักและมุ่งด้านงานวิจัยเป็นอย่างเดียว การเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นประโยชน์มาก งานวิจัยปริญญาเอกของนักเรียนทุนในมหาวิทยาลัยระดับโลก พอผ่านปีแรก ผมต้องเลือกหัวข้อวิจัยด้านปริญญาเอกที่มีการ บูรณาการระหว่างสองคณะ โดยผมเลือกระหว่างเคมีกับวิศวกรรมเคมี ในส่วนของงานด้านเคมี ผมออกแบบและก็สังเคราะห์สารระดับโมเลกุล ที่ชื่อว่า “Metal-organic Cages” หรือถ้าแปลเป็นไทยก็คือโครงสร้าง โลหะอินทรีย์แบบกรง หน้าตาเหมือนกล่องใส่ของ โดยออกแบบให้กล่องนี้ สามารถเปิดปิดได้ถ้าเกิดว่าใช้แสงหรือให้ความร้อน กล่องนี้ข้างในมีที่ว่าง ที่สามารถเก็บสารเคมีไว้ได้ โดยในส่วนของงานด้านวิศวกรรมเคมี ผม นำ �เอากล่องนี้ไปใช้ในการแยกสารเคมี จากที่แยกยากๆ กล่องนี้สามารถ นำ �สารที่ต้องการแยกมาใส่ไว้แล้วนำ �ไปปล่อยอีกที่โดยไม่ต้องใช้ความร้อน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถออกแบบให้จับเฉพาะโมเลกุลบางชนิดได้ ทำ �ให้นำ �ไปใช้แยกสารที่เฉพาะเจาะจงได้ครับ ตัวอย่างเช่น การแยก สารเคมีที่หน้าตาคล้ายกันในอุตสาหกรรมยา หรือสารที่แยกยากๆ จาก อุตสาหกรรมปิโตรเลียม แต่พอทำ �งานวิจัยไปสักพักก็เกิดข้อจำ �กัดเพราะว่าการแยก สารเคมีของผมมันจะหยุดต่อเมื่อความเข้มข้นของสารที่ต้องการแยกสองฝั่ง เท่ากัน หรือเรียกว่าเข้าสู่จุดสมดุล จินตนาการแบบนี้ครับ… กล่องผมทำ �หน้าที่เป็นเหมือนประตูตรงกลางที่พอเปิดปุ๊บ ก็ให้ สารบางชนิดที่ประตูถูกออกแบบมาให้อนุญาตผ่าน ออกจากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่งได้ แต่พอปริมาณของสารสองชนิดนี้จากห้องหนึ่งไปอีก ห้องหนึ่งเท่ากันแล้ว ระบบก็จะหยุดครับ หลักการคล้ายๆ ออสโมซิส ที่ เรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ตอนเด็กๆ งานวิจัยของผมส่วนหนึ่งก็เลยเป็น การทำ �ความเข้าใจระบบนี้ให้มากขึ้น และออกแบบระบบที่สามารถทำ �ให้ การแยกสารเกินจุดสมดุลนี้ไปได้ พูดง่ายๆ ก็คือเปิดประตูแล้วสามารถสูบ เอาสารด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งได้ปริมาณเยอะๆ เลยจุดที่เท่ากันครับ งานในส่วนนี้ก็ทำ �ให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการเขียนโค้ดด้วยเพื่อใช้ในการ ทำ �ความเข้าใจหลักการคณิตศาสตร์เบื้องหลังระบบนี้ งานนี้ได้รับการตีพิมพ์ ในนิตยสาร Nature Chemistry ในตอนนั้น ผมรู้สึกถึงจุดอิ่มตัวทางด้านงานวิจัยระดับหนึ่งตอน ช่วงเรียนปริญญาเอกครับ อาจเป็นเพราะการให้ความสำ �คัญในงานตีพิมพ์ เป็นอย่างมากในสภาพแวดล้อมที่ผมอยู่ ทำ �ให้ระหว่างการเรียน ผมได้ใช้ โอกาสตอนที่อยู่ในรั้วมหาลัยในการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่อง วิชาการ ซึ่งเปิดมุมมองผมหลายอย่างมาก ทำ �ให้ผมอยากหาประสบการณ์ นอกงานวิจัยวิทยาศาสตร์เฉพาะด้าน ดังนั้น หลังเรียนจบจนปัจจุบันนี้ ผมจึงเลือกเป็นที่ปรึกษา ด้านดิจิทัลที่สำ �นักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลหรือ Digital Government Development Agency (DGA) ครับ ความพลิกผันในเส้นทางชีวิตหลังสำ �เร็จการศึกษา ก่อนจะมาอยู่ในตำ �แหน่งปัจจุบันนี้ ผมพยายามหาประสบการณ์ ในหลากหลายด้าน เช่น การไปร่วมกับสมาคมการแพทย์ที่มหาวิทยาลัย ออกแบบนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาระบบโรงพยาบาลที่อังกฤษ การรับงาน ที่ปรึกษาด้านภาพรวมสำ �หรับสตาร์ทอัพในประเทศไทย และงานด้าน พัฒนานวัตกรรมขององค์กร เคยมีช่วงหนึ่งที่อยากทำ �สตาร์ทอัพเป็นของตัวเองมาก เลยเริ่มจาก การไปเข้าใจฝั่งผู้ลงทุนว่าเขาพิจารณาลงทุนทำ �สตาร์ทอัพอย่างไร ได้ มีโอกาสทำ �งานด้านเงินลงทุนร่วม (Venture Capital - VC) ในระหว่าง ที่เรียน โดยทำ �หน้าที่ในการตรวจสอบและประเมินความเหมาะสมในการ ลงทุนในสตาร์ทอัพ ทั้งในด้านเทคนิคและความคุ้มค่าทางการเงิน ซึ่ง ในช่วงนั้นได้ประเมินสตาร์ทอัพในกลุ่มฟินเทค เทคโนโลยี ผู้บริโภค เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรรม เทคโนโลยี และ ด้านพลังงานเป็นหลัก เมื่อกลับมาทำ �งานที่ประเทศไทยก็ได้เริ่มจากการเข้าช่วยด้าน นโยบายระดับประเทศ โดยดูเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายดิจิทัล เศรษฐกิจ การค้าขาย และ โลจิสติกส์ ได้เรียนรู้หลายเรื่องเลยครับ ทั้งด้านเทคนิค กฎหมาย การ ดำ �เนินงาน การออกนโยบาย รวมถึงการบริหารองค์กร หรือบริหาร ประเทศครับ ปัจจุบันนี้ก็มาเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลที่ DGA หน้าที่คือ ช่วยผู้บริหารองค์กรดำ �เนินงานให้ได้ตามเป้าหมาย ให้คำ �ปรึกษาทางด้าน เทคนิค โดยเน้นเรื่องเทคโนโลยีทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence:AI) เป็นหลักครับ ฟังอย่างนี้แล้วจะรู้สึกว่าออกมาไกลจากเคมี แต่ทั้งหมดนี้เกิดจาก ประสบการณ์และการเรียนรู้ระหว่างทางครับ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพ ของตัวเราเอง จึงทำ �ให้สามารถมาอยู่ในจุดที่ห่างจากสิ่งที่เรียนตอน ปริญญาตรีพอสมควรครับ แนวคิดที่ได้จากการเป็นนักเรียนโอลิมปิกวิชาการได้นำ �มาประยุกต์ใช้ อย่างไรบ้าง ผมขอแยกประเด็นนี้ออกเป็นสองช่วงแล้วกันครับ เป็นช่วง ก่อนรับทุน และหลังรับทุน ก่อนรับทุน บรรยากาศการแข่งขันและการอยู่ในโครงการ โอลิมปิกทำ �ให้เป็นคนมีเป้าหมายไปโดยปริยาย นอกจากนั้น การแก้โจทย์ ข้อสอบทำ �ให้เป็นคนชอบแก้ปัญหา ทำ �ความเข้าใจ หาสาเหตุหลักและ ที่มาของสาเหตุนั้น แล้วก็เป็นคนละเอียดครับ สุดท้ายก็คือจะต้องมีการ จัดการเวลาที่ดี มีระเบียบในการจัดตารางอ่านหนังสือ หลังการรับทุน ผมคิดว่าผมได้แนวคิดมาสองด้านหลักครับคือ ด้านการใช้ชีวิตและการบริหารตัวเอง และด้านความเปิดกว้างต่อมุมมอง ภายนอก ซึ่งหลักๆ เกิดจากการที่ได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ

RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5