นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 254

ปีที่ 53 ฉบับที่ 254 พฤษภาคม - มิถุนายน 2568 | 33 ซึ่งสามารถตรวจวัดปริมาณสารในระดับต่ำ �ได้ โรงเรียนและชุมชนสามารถ ใช้ชุดทดสอบสารหนูแบบเร็ว (Arsenic Quick Test Kit) เพื่อตรวจสอบ คุณภาพน้ำ �ดื่มก่อนนำ �มาใช้บริโภคได้ เทคโนโลยีบำ �บัดน้ำ �มีหลากหลายวิธี ที่สามารถนำ �มาใช้ในการกำ �จัดสารพิษออกจากน้ำ � เช่น การกรอง การ ตกตะกอนโดยใช้สารส้ม การใช้ถ่านกัมมันต์ หรือการใช้เทคโนโลยีเมมเบรน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของ สารปนเปื้อน แนวทางการจัดการและฟื้นฟูแหล่งน้ำ �ที่ปนเปื้อนอาจรวมถึง การขุดลอกตะกอนดินที่ปนเปื้อน การปรับปรุงคุณภาพน้ำ �ด้วยวิธีทาง ชีวภาพ (Bioremediation) หรือการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำ �เพื่อช่วยในการบำ �บัด น้ำ �เสีย การป้องกันการปนเปื้อนในอนาคตเป็นสิ่งสำ �คัญที่สุด ซึ่งรวมถึง การควบคุมและตรวจสอบการปล่อยน้ำ �เสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและ กิจกรรมการทำ �เหมืองแร่ การบังคับใช้กฎหมายและมาตรฐานด้าน สิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม • สังคมศึกษา/หน้าที่พลเมือง: ปัญหาการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ประชาชนและชุมชนมีบทบาทสำ �คัญใน การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นความผิดปกติที่อาจก่อให้เกิดการ ปนเปื้อน การรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและ ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำ �เนินการแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งสำ �คัญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำ �ใน พื้นที่ของตนเอง และต้องทำ �งานร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ ในการแก้ไขปัญหา ภาครัฐมีบทบาทสำ �คัญในการกำ �หนดนโยบาย ออก กฎหมายและบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง รวมถึงการ สนับสนุนด้านงบประมาณและเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหา การทำ �งาน ร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กร ระหว่างประเทศ เป็นสิ่งจำ �เป็นเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน • วิทยาศาสตร์พื้นฐาน/ปรัชญาของวิทยาศาสตร์: กรณีศึกษา แม่น้ำ �กกเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำ �คัญด้านจริยธรรมในการทำ � กิจกรรมต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำ �เหมืองแร่ควร คำ �นึงถึงความรับผิดชอบต่อผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ของประชาชน การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยไม่คำ �นึงถึง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน การบูรณาการความรู้ ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการตัดสินใจเชิงนโยบายเป็นสิ่งจำ �เป็นเพื่อให้การ พัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อมในระยะยาว พลังแห่งการเรียนรู้: บทบาทของวิทยาศาสตร์ในการสร้างความตระหนัก และความยั่งยืน กรณีศึกษาการปนเปื้อนในแม่น้ำ �กกมิได้เป็นเพียงสถานการณ์ ที่น่ากังวล แต่เป็นบทเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีพลังและจับต้องได้สำ �หรับ ผู้เรียนทุกระดับชั้น โดยตอกย้ำ �ถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนและไม่อาจ ละเลยระหว่างกิจกรรมของมนุษย์ ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาวะ ของผู้คน การนำ �กรณีศึกษานี้มาเป็นแกนหลักในการจัดการเรียนรู้ จะ สามารถจุดประกายความตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความสำ �คัญของการ พิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะสำ �คัญในศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ การสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาอย่าง เป็นระบบ ครูสามารถใช้ประเด็นข่าวการปนเปื้อนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ สืบค้นทางวิทยาศาสตร์ โดยนำ �พานักเรียนไปสู่การทำ �ความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้เกี่ยวกับ สารหนูและตะกั่ว (และโลหะหนักชนิดอื่นๆ เช่น ปรอท) ตั้งแต่ สมบัติทางเคมี ความเป็นพิษ และผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรขยายผลการเรียนรู้ไปสู่กระบวนการทำ �เหมืองแร่ แบบไม่เป็นทางการในประเทศเมียนมาเพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้และ กลไกการปล่อยสารพิษสู่แหล่งน้ำ � รวมถึงหลักการไหลเวียนของน้ำ �ใน ระบบนิเวศ และกระบวนการสะสมของสารพิษในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะช่วยให้ นักเรียนเห็นภาพรวมของปัญหาและผลกระทบที่ต่อเนื่อง กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายสามารถบูรณาการเข้ากับกรณี ศึกษานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น 1) การอภิปรายกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2) การนำ �เสนอข้อมูลจากการสืบค้น 3) การทำ �โครงงานวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการบำ �บัดน้ำ � โดยให้ นักเรียนทดลองใช้วัสดุต่างๆ เช่น ถ่านกัมมันต์ เปลือกไข่บดละเอียด ถ่านไม้ ทรายละเอียด และสำ �ลี นำ �มาใช้ในการออกแบบเครื่องกรองน้ำ �ที่ปนเปื้อน สารหนูหรือตะกั่ว และเปรียบเทียบผลการทดสอบน้ำ �ที่ได้จากการกรองด้วย ภาพจาก: https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1174661

RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5