นิตยสาร สสวท. ฉบับที่ 255

60 | นิตยสาร สสวท. เทคโนโลยีการสร้างผิวหนังให้กับหุ่นยนต์นี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในงานหุ่นยนต์ เท่านั้น ศาสตราจารย์โชจิ ทาเคอุชิ ยังกล่าวอีกว่า มันสามารถนำ �ไปใช้ ในการทดสอบยา การปลูกถ่ายผิวหนัง และการรักษาบาดแผลได้ด้วย 2) ความคาดหวังในการนำ �ไปใช้เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำ �วัน หุ่นยนต์ที่มี ผิวสัมผัสและพฤติกรรมเหมือนมนุษย์จะสามารถเป็นผู้ช่วยในด้านต่างๆ ได้ ดีขึ้น เช่น การดูแลผู้สูงอายุ หรือการทำ �งานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูง 3) ความคาดหวังในการทำ �วิจัยการสร้างหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่มีกล้ามเนื้อ จะช่วยทำ �ให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำ �งานของร่างกายมนุษย์ได้ลึกซึ้ง มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม 4) ความคาดหวังในการนำ �หุ่นยนต์มาช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพและผลผลิตจากการทำ �งาน โดยโรงงานต่างๆ จะสามารถ เปิดทำ �งานได้ตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุดพัก เพราะหุ่นยนต์สามารถทำ �งาน ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คุณคิดว่า AI จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไหม? ต่ายขอตอบเลยว่า แน่นอน! งานวิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์ในปัจจุบัน แทบจะขาด AI ไม่ได้เลย ยิ่งเป็นหุ่นยนต์ไบโอไฮบริดหรือหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ที่มีกล้ามเนื้อ ที่มีเป้าหมายจะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยแล้ว การใช้ AI เพื่อช่วยทำ �ให้หุ่นยนต์สามารถ “เรียนรู้ได้เอง” และ “คิดได้เอง” จาก ข้อมูลที่ได้รับจะช่วยให้การเคลื่อนไหวและการแสดงออกทางสีหน้าเป็น ธรรมชาติมากขึ้น โดย 1) AI จะเข้ามาช่วยควบคุมการทำ �งานของกล้ามเนื้อ ซึ่งในปัจจุบัน การแสดงสีหน้าของหุ่นยนต์ยังต้องใช้การเขียนโปรแกรม ควบคุมอยู่ แต่ในอนาคต AI จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากสภาพแวดล้อม ผ่านเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ถูกติดตั้งไว้ และตอบสนองด้วยการแสดงออกทาง สีหน้าได้อย่างเหมาะสม 2) AI จะเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ของหุ่นยนต์ ทำ �ให้ หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้วิธีการยิ้ม วิธีการขยับนิ้ว หรือการแสดงอารมณ์ต่างๆ ได้เองจากการสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ทำ �ให้หุ่นยนต์มีพฤติกรรม ที่ซับซ้อนและเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น สรุปแล้ว มีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน? ต่ายว่าเรื่องนี้ก็จะ เหมือนกับประเด็นทางสังคมอื่นๆ หรือเหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ถ้าจะพูด ถึงประโยชน์ มันก็มีประโยชน์มากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ ทางด้านการแพทย์ การวิจัย การเป็นผู้ช่วยมนุษย์ และอื่นๆ ที่อาจจะมี การนำ �ไปประยุกต์ใช้ แต่โทษหรือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นก็มีไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและจริยธรรม สิ่งสำ �คัญที่สุดที่ต่ายคิดว่า เราต้องทำ �กันก็คือ “การเตรียมพร้อม” ทุกๆ คนในสังคมต้องร่วมกันสร้าง กฎเกณฑ์และกรอบจริยธรรมที่ชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อทำ �ให้เทคโนโลยีนี้ เติบโตไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างแท้จริง ถึงตอนนี้ ต่ายเชื่อว่าข้อมูลที่นำ �มาเล่าให้คุณฟังทั้งหมดในฉบับนี้ น่าจะ ช่วยทำ �ให้เรามองภาพรวมของเทคโนโลยีนี้ได้ชัดเจนขึ้น และหากมี เรื่องราวที่น่าสนใจที่อยากจะให้ต่ายค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมมาเล่าให้ฟัง สามารถแจ้งมาที่ต่ายได้ที่ funny_rabbit@live.co.uk เหมือนเช่นเคย อนาคตไม่ได้อยู่แค่ในจินตนาการอีกต่อไป แต่กำ �ลัง ถูกสร้างขึ้นจริงในห้องทดลองแล้ว ต่าย แสนซน เรื่องความสับสนที่จะเกิดขึ้นในสังคม หากเราไม่สามารถแยกแยะระหว่าง มนุษย์กับหุ่นยนต์ได้ อาจจะทำ �ให้เกิดปัญหาทางสังคมต่างๆ ตามมา มากมาย เช่น การหลอกลวง การสร้างความสัมพันธ์ที่สับสนระหว่างมนุษย์ กับหุ่นยนต์ หรือแม้กระทั่งความวิตกกังวลต่อการมีอยู่ของมนุษย์ในอนาคต 3) ความกังวลต่อความปลอดภัย คุณๆ ลองคิดดูว่า ถ้าหากมีการพัฒนาของ AI จนสามารถทำ �ให้หุ่นยนต์ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษย์สามารถ คิดเองได้ ทำ �อะไรเองได้ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องรอรับคำ �สั่งจากมนุษย์ คุณ คิดว่ามันจะกลายเป็นภัยคุกคามกับมนุษย์หรือเปล่า 4) ความกังวลต่อ ความมั่นคงในการทำ �งานของมนุษย์ในอนาคตน่าจะมีการใช้หุ่นยนต์เข้ามา ทดแทนแรงงานของมนุษย์สำ �หรับการทำ �งานที่ซ้ำ �ซากเป็นรูปแบบที่แน่นอน การทำ �งานที่เสี่ยงอันตราย หรืองานที่ต้องทำ �อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันพัก จากข่าว ณ เวลานี้ น่าจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างว่า บริษัท UBTECH ของประเทศจีนได้พัฒนาหุ่นยนต์ รุ่น Walker S2 ที่มีความสูง 162 cm หนัก 43 kg จุดเด่นของหุ่นยนต์รุ่นนี้ก็คือ เมื่อพลังงานในแบตเตอรี่ ใกล้จะหมด หุ่นยนต์รุ่นนี้จะมีความสามารถในการเดินมาเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก้อนใหม่ (เป็นแบตเตอรี่ลิเทียม 48 โวลต์) ให้กับตัวเองได้ ทำ �ให้หุ่นยนต์รุ่นนี้ สามารถทำ �งานได้โดยไม่มีการหยุดพักกันเลยทีเดียว สำ �หรับแบตเตอรี่ แต่ละก้อนจะทำ �ให้หุ่นยนต์รุ่นนี้สามารถเดินได้ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือยืน ทำ �งานได้ประมาณ 4 ชั่วโมง และแบตเตอรี่เก่าที่หุ่นยนต์เปลี่ยนเก็บใส่ไว้ใน ช่องชาร์ตแต่ละช่องก็จะใช้เวลาในการชาร์ตจนเต็มในแต่ละครั้งเป็นเวลา 90 นาที และหุ่นยนต์ที่ชื่อ Atlas ที่ผลิตจากบริษัท Boston Dynamics ของ อเมริกาที่นักวิจัยสร้างมันให้สามารถวิ่ง กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ตีลังกา มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้เคลื่อนไหวในแบบที่มนุษย์ทำ �ได้เท่านั้น มันยัง สามารถขยับร่างกายในแบบที่มนุษย์ทำ �ไม่ได้ เช่น การหมุนตัวหรือการบิดตัว ในมุมที่เกินขีดจำ �กัดของมนุษย์ เพื่อทำ �ให้มันสามารถทำ �ภารกิจต่างๆ ให้สำ �เร็จได้ และถูกขับเคลื่อนด้วย AI จึงทำ �ให้มันสามารถเรียนรู้จาก สถานการณ์จริงได้ เช่น ขณะกำ �ลังยกลังที่มีน้ำ �หนักขึ้น แล้วลังร่วง (มนุษย์เอา เหล็กมาเคาะให้ลังหลุดจากมือหุ่นยนต์) มันก็จะสามารถเก็บลังขึ้นมาใหม่ได้ หรือเมื่อมนุษย์ใช้แท่งเหล็กดันมันไปทางด้านหลัง มันก็จะมีการก้าวถอยหลัง ในลักษณะเดียวกับที่มนุษย์ทำ �เพื่อทำ �ให้มันไม่ล้ม หรือถ้าล้มมันก็จะสามารถ ลุกขึ้นมาเองได้ แสดงให้เห็นว่า Atlas สามารถปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหว ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ต่ายขอเล่าถึงหุ่นยนต์ อีกตัวที่ชื่อว่า Figure 02 ที่ถูกสร้างให้ทำ �งานร่วมกับ AI ของ OpenAI เป็นหุ่นยนต์ของบริษัท Figure AI ทำ �ให้มันเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถคุยกับ เราได้ เข้าใจคำ �สั่ง ตอบคำ �ถาม และอธิบายได้ว่ามันกำ �ลังทำ �อะไรอยู่ได้ อย่างเป็นธรรมชาติ มันสามารถเรียนรู้ได้จากโลกจริง ผ่านระบบ AI และ กล้องหลายๆ ตัว เช่น สามารถหยิบสิ่งของต่างๆ ไปใส่ในตระกร้าได้ อย่างถูกต้องโดยการประมวลผลจากภาพและการโต้ตอบกับมนุษย์ มีการ ออกแบบให้มีมือที่มีความละเอียดอ่อนคล้ายกับมือของมนุษย์มากๆ ทำ �ให้ สามารถทำ �งานต่างๆ ที่มีความแม่นยำ �สูงได้ มีจุดเด่นคือ สามารถคิด และตอบสนองได้อย่างมีเหตุผลมากกว่า Figure 01 คุณๆ รู้สึกทึ่ง ไปกับต่ายไหม ต่อมาต่ายจะพาเข้าสู่ประเด็นความคาดหวังต่อการวิจัยและ พัฒนาหุ่นยนต์ในอนาคตว่ามีอะไรบ้าง 1) ความคาดหวังทางการแพทย์

RkJQdWJsaXNoZXIy NzI2NjQ5