Previous Page  22 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 22 / 62 Next Page
Page Background

22

นิตยสาร สสวท.

ท่องโลกแห่งอัจฉริยะ ตอน แอบมอง

ไต้หวัน จะพาท่านย้อนไปพบกับการ

พัฒนาในอดีต ที่ส่งผลให้ปัจจุบันไต้หวัน

เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประสบความ

สำ

�เร็จในด้านการจัดการเรียนการสอน

ให้กับเด็กอัจฉริยะ ได้รับรู้จุดเปลี่ยน เรื่องราวการเปลี่ยนแปลง

ปัญหา และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนา

อัจฉริยภาพ ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางสู่การพัฒนาเด็กอัจฉริยะใน

ประเทศไทยได้

ไต้หวันเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เป็นเกาะอยู่ทางทิศตะวัน

ออกเฉียงใต้ของประเทศจีน อยู่ทางทิศเหนือของประเทศ

ฟิลิปปินส์ ไต้หวันมีพื้นที่ประมาณ 36,000 ตารางกิโลเมตร

เล็กกว่าไทยประมาณ 14 เท่า มีประชากรประมาณ 23 ล้าน

คน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกลำ

�ดับที่ 51 โดย

มีประชากรที่มีอายุต่ำ

�กว่า 15 ปี ถึง 15 ล้านคน ระบบการ

ศึกษาของไต้หวันขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ มีการศึกษาภาค

บังคับ 9 ปี ตั้งแต่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษา

ปีที่ 3 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป จะขยายจนถึงชั้น

มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยครูผู้สอนจะต้องผ่านการอบรมจาก

วิทยาลัยครูเฉพาะทาง หรือผ่านหลักสูตรครูในมหาวิทยาลัย

(Discover Taiwan, 2013)

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ได้มีการจัดตั้งโครงการพัฒนาการเรียน

การสอนของเด็กอัจฉริยะขึ้น และเริ่มมีโครงการทดลองนำ

�ร่อง

ในโรงเรียนอนุบาล ในปี พ.ศ. 2516 มีการพัฒนาเป็นโครงการ

นำ

�ร่องในโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ทดลองแยก

ชั้นเรียนของนักเรียนตามความสามารถในการเรียนรู้ (จัดลำ

�ดับ

ตามไอคิว) ศึกษาการพัฒนาทางสติปัญญาและความคิดริเริ่ม

สร้างสรรค์ ทั้งนี้กำ

�หนดให้มีครูในชั้นอนุบาล 2 คน และใน

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 คน โดยมีนักเรียนห้องละไม่

เกิน 30 คน (Gifted Phoenix, 2013)

แม้ว่าการทดลองไม่บรรลุผลตามที่คาดหวัง แต่ก็ได้รับ

ความสนใจจากประชาชนจำ

�นวนมาก ก่อให้เกิดความต้องการ

ในการสนับสนุนเด็กที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถมากขึ้น

ขณะเดียวกันไต้หวันจำ

�เป็นจะต้องปรับปรุงระบบการเรียน

รู้ของเด็กผู้มีความสามารถพิเศษต่อไป พร้อมกับเสริมสร้าง

เจตคติที่ดีของนักเรียนให้เข้าใจแนวคิดของโครงการเสริมสร้าง

ลักษณะความเป็นผู้นำ

� ความคิดสร้างสรรค์ และการมีสภาพจิต

ที่ดี นอกจากนี้จำ

�เป็นต้องมีการพัฒนาหลักสูตรครู คัดเลือกครู

และสร้างเครือข่ายครูสำ

�หรับโครงการอัจฉริยภาพ

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2528 มีการใช้กฎหมายการศึกษาพิเศษ

มุ่งเน้นไปที่การวัดผลและประเมินการศึกษาของนักเรียนที่มี

ความสามารถพิเศษ ขณะเดียวกันก็พบปัญหาเกิดขึ้น ในปี พ.ศ.

2530 ไต้หวันพบว่า มีนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษ 3 % จาก

นักเรียนทั้งหมด 3.6 ล้านคน แต่มีเพียง 13 % จาก 3 % แรก

เท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนโดยโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพ

และผู้มีความสามารถพิเศษ ในปี พ.ศ. 2534 พบว่า มีนักเรียน

ผู้มีความสามารถพิเศษเพียง 0.6 % ของนักเรียนทั้งหมดที่ได้

รับการส่งเสริม ประกอบไปด้วย เพศชาย 43 % และ เพศหญิง

57 % เมื่อเวลาผ่านไป 6 ปี พบว่าสัดส่วนของเพศหญิงเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน หลังจากปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา พบว่านักเรียน

ผู้มีความสามารถพิเศษลดลงปีละ 3 % เนื่องจากประชาชน

ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเปลี่ยนไปมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษา

สำ

�หรับเด็กที่มีความบกพร่อง ทำ

�ให้ชะลองานของโครงการ

อัจฉริยภาพออกไป (Gifted Phoenix, 2013)

หลังจากปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา เริ่มมีการศึกษา

กระบวนการคัดเลือกผู้มีความสามารถพิเศษอย่างเป็นระบบ

ขึ้นภายใต้การดำ

�เนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ โดยแบ่ง

นักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่ กลุ่มเด็กผู้มีพรสวรรค์ในการเรียน

รู้แต่กำ

�เนิด กลุ่มเด็กที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูง กลุ่มเด็กที่

มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สูง กลุ่มเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ

เรียนสูง ซึ่งจะต้องผ่านการคัดเลือกเฉพาะ โดยใช้วิธีการสังเกต

จากครูในโรงเรียน ร่วมกับผลการเรียน ผลทดสอบทางปัญญา

ซึ่งแบบทดสอบมีหลายแบบและการสอบจะจัดขึ้นในโรงเรียน

ภายใต้คำ

�แนะนำ

�ของมหาวิทยาลัย โดยเกณฑ์การคัดเลือก

พื้นฐานได้แก่ เด็กที่มีไอคิวมากกว่า 130 ขึ้นไป และเด็กที่ผ่าน

การคัดเลือกจะเข้าสู่ห้องเรียนพิเศษ (Wu, 1989)

ส่วนหนึ่งของปัญหาที่พบจากโครงการนี้คือ ผู้ปกครอง

มีความกังวลว่าบุตรหลานอาจประสบปัญหาในการสอบเข้า

ระดับมหาวิทยาลัย และเชื่อว่า การสอนที่เน้นกระบวนการคิด

และกิจกรรมเสริมทักษะต่าง ๆ ไม่มีความจำ

�เป็นต่อการสอบ

เข้ามหาวิทยาลัยของเด็ก แนวคิดนี้เป็นอุปสรรคต่อครูผู้สอน

ที่จะพัฒนาและส่งเสริมเด็กด้วยวิธีการสอนแบบสร้างสรรค์