Previous Page  51 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 51 / 62 Next Page
Page Background

51

ปีที่ 41 ฉบับที่ 182 พฤษภาคม - มิถุนายน 2556

ในโรงเรียนของสิงคโปร์ มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกคนได้พัฒนา

และฝึกทักษะการคิด

แม้แต่เด็กที่คิดว่าเรียนรู้ได้ช้าที่สุดในชั้นเรียนก็สามารถ

คิดได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถคิดได้ด้วยตนเอง

สามารถหาข้อผิดพลาดของตนเองได้ การเรียนคณิตศาสตร์ใน

ห้องเรียนจึงไม่ใช่การเรียนด้วยการจำ

�สูตร การทำ

�ตามตัวอย่าง

การทำ

�โจทย์ด้วยวิธีที่ครูบอก แต่เป็นการเรียนรู้และคิดได้ด้วย

ตนเอง ซึ่งนี่คือกฎสำ

�คัญของการพัฒนาหลักสูตร หนังสือเรียน

และการอบรมครูของสิงคโปร์ โดยองค์ประกอบเหล่านี้ได้ถูก

พัฒนาไปในแนวทางเดียวกัน

มาเข้าสู่ชั้นเรียนของสิงคโปร์กันบ้างดีกว่า การเรียนการ

สอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ จะ

เรียนคณิตศาสตร์วันละ 2 คาบ คาบละ 30 นาที ซึ่งก็คิดเป็น

1 ชั่วโมงพอดิบพอดี โดยการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการ

แก้ปัญหานั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่

1

20 นาทีแรก

ครูให้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่

ต้องการให้ช่วยกันคิดทั้งห้อง จนนักเรียนได้แนวคิด หรือฝึก

ทักษะที่ต้องการ

2

20 นาทีต่อมา

ให้นักเรียนฝึกฝนเพิ่มเติมโดยทำ

�งานเป็น

กลุ่ม แล้วครูเดินตรวจผลงานของนักเรียนรายกลุ่ม และช่วย

แก้ไขข้อผิดพลาด

3

20 นาทีสุดท้าย

ให้นักเรียนทำ

�งานรายบุคคล

เนื่องจากความคิดพื้นฐานในระบบการศึกษาของสิงคโปร์

คือเด็กทุกคนสามารถคิดได้ บทบาทของครูจะเป็นเพียงผู้

อำ

�นวยความสะดวก สร้างสถานการณ์หรือให้โอกาสหรือ

กระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาการคิด และการใช้การคิดนี้ ก็

ไม่ใช่เฉพาะตอนที่ให้ทำ

�โจทย์ประยุกต์เท่านั้น แต่นักเรียน

สามารถใช้กระบวนการคิดได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ในการสอน

ความรู้พื้นฐาน หรือแม้ในช่วงการฝึกทำ

�โจทย์เพิ่มเติม ดังนั้น

ทุกกระบวนการของการสอนในห้องเรียนจึงเต็มไปด้วยการ

อภิปราย โต้ตอบ แสดงแนวทางแก้ปัญหา และข้อคำ

�ถาม

ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนกับนักเรียน

ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างการสอนความรู้พื้นฐานในบทเรียนเรื่องการ

คูณด้วย 6 ครูสิงคโปร์อาจเริ่มต้นบทเรียนด้วยการวางถ้วย

กระดาษที่มีเมล็ดถั่ว ถ้วยละ 6 เมล็ด ไว้บนโต๊ะของนักเรียน

กลุ่มละ 2 ถ้วย แล้วถามนักเรียนในชั้นเรียนว่า “บนโต๊ะมีถั่ว

ทั้งหมดกี่เมล็ด” จากนั้นให้นักเรียนตอบและอธิบายว่านักเรียน

รู้ได้อย่างไร ซึ่งนักเรียนอาจตอบได้หลากหลาย เช่น “นับรวม

กันค่ะ” “6 บวกกับ 6 ครับ” จากนั้นครูแนะนำ

�สัญลักษณ์การ

คูณ ว่าแสดงได้ด้วย 2 × 6 แล้วถามเพิ่มให้นักเรียนคิดว่าหากมี

ถ้วยกระดาษ 3 ถ้วย หรือ 4 ถ้วย หรือ 5 จะมีถั่วทั้งหมดกี่เมล็ด

ให้นักเรียนอธิบาย ซึ่งนักเรียนก็อาจจะใช้การคูณด้วย 2 หรือ

บวกเพิ่ม หรือวิธีการอื่น ๆ โดยใช้สิ่งที่นักเรียนรู้มาเชื่อมโยง เช่น

รู้ว่า 2 × 6 = 12 ก็จะสามารถ รู้ว่า 3 × 6 = 18 ได้ (จาก

2 × 6 = 12 บวกอีก 6 จะได้ 18) หรือ 4 × 6 = 24 (จาก

2 × 6 = 12 ดังนั้น 4 × 6 ได้จาก 12 ×2 หรือ 12 +12 )

หรือรู้ว่า 2 × 6 = 12 และ 3 × 6 = 18 แล้ว ก็จะสามารถ

หาว่า 5 × 6 = 12 + 18 = 30

เป็นต้น ซึ่งในห้องเรียนครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิด และ

อธิบายวิธีการของตนเอง ให้ได้วิธีที่แตกต่างกัน จนนักเรียน

สามารถหาผลคูณของจำ

�นวน 1 หลัก กับ 6 ได้ โดยที่นักเรียน

ไม่จำ

�เป็นต้องท่องสูตรคูณแม่ 6 ได้

หลังจากเห็นตัวอย่างการเรียนการสอนในห้องเรียนสิงคโปร์

และเบื้องหลังที่มาของหลักสูตรคณิตศาสตร์ที่เน้นการแก้

ปัญหาและกระบวนการคิด รวมถึงวิสัยทัศน์ของระบบการ

ศึกษา ต้องบอกว่า...ไม่แปลกใจเลยว่าทำ

�ไมเด็กสิงคโปร์จึง

เก่งคณิตศาสตร์ ก็เพราะการศึกษาในสิงคโปร์เน้นมากกับ

การเปิดโอกาสและกระตุ้นให้นักเรียนได้คิด ได้พูด โดยครู

มีหน้าที่ตั้งคำ

�ถาม ชักชวน และให้เวลากับนักเรียนเพื่อคิด

และอธิบายเหตุผล ไม่ใช่การสอนเฉพาะกระบวนการเพื่อ

ให้เด็กทำ

�ได้ จำ

�ได้เท่านั้น แต่เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้

เด็กได้เรียนรู้ เข้าใจ และสามารถนำ

�เครื่องมือซึ่งคือทักษะ

ในการคิดไปต่อยอดในการเรียนคณิตศาสตร์ในทุก ๆ เรื่อง

ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง กุญแจแห่งความสำ

�เร็จของการศึกษา

วิชาคณิตศาสตร์ หรืออาจรวมถึงวิชาอื่น ๆ ของสิงคโปร์ ก็คือ

‘การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิด’ นั่นเอง

มองการศึกษาของประเทศสิงคโปร์แล้ว คงได้เวลาที่เราต้อง

กลับมาย้อนมองดูการศึกษาของไทย ทบทวน เปิดความคิด

เปิดใจว่าหลักสูตรและการเรียนการสอนในห้องเรียนของไทย

พร้อมแล้วหรือยัง และเราจะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอย่างไร

เพื่อจะเตรียมตัวพัฒนา และหล่อหลอมเด็กไทยให้มีศักยภาพ

เพียงพอ ให้พร้อมที่จะยืนอยู่ในประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปี

ข้างหน้าอย่างสง่างาม