Previous Page  47 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 47 / 62 Next Page
Page Background

47

ปีที่ 43 ฉบับที่ 193 มีนาคม - เมษายน 2558 ี

ที่ ั

บี่ ี

1. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม

(Industrial Property)

หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้า

อุตสาหกรรมต่าง ๆ ความคิดสร้างสรรค์นี้อาจเป็นความคิด

ในการประดิษฐ์คิดค้นซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการหรือเทคนิคใน

การผลิตที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์

ทางอุตสาหกรรมนอกจากนี้ยังรวมเครื่องหมายการค้าหรือยี่ห้อ

ชื่อและถิ่นทางการค้าตลอดจนแหล่งก�

ำเนิดสินค้าทรัพย์ สิน

ทางอุตสาหกรรม สามารถแบ่ งออกได้ดังนี้ คือ

1.1 สิทธิบัตร (Patent)

1.2 เครื่องหมายการค้า (Trademark)

1.3 แบบผังภูมิของวงจรรวม (Layout-Designs of

Integrated Circuit)

1.4 ความลับทางการค้า (Trade Secrets)

1.5 สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication)

2. ลิขสิทธิ์ (Copyright)

หมายถึง ผลงานที่เกิดจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

ประเภทต่าง ๆ เช่น วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม

โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ

และงานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ และแผนก

ศิลปะ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระท�

การใด ๆ กับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ท�

ำขึ้นตามประเภทสิทธิที่

กฏหมายก�

ำหนด ได้แก่ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธี

หรือรูปแบบอย่างใด นอกจากนี้กฎหมายลิขสิทธิ์ยังให้ความคุ้มครอง

ถึงสิทธินักแสดงด้วย

ลิขสิทธิ์

เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้

ความสามารถ และความอุตสาหะวิริยะในการสร้างสรรค์งาน

ให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น

ทรัพย์สินทางปัญญา

ประเภทหนึ่ง

ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรได้รับความคุ้มครอง

ตามกฎหมาย

งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์

ประกอบด้วยงานต่าง ๆ ดังนี้

1. งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งพิมพ์ ค�

ำปราศรัย

โปรแกรมคอมพิวเตอร์

2. งานนาฏกรรม เช่น การร�

ำ ท่าเต้น การแสดงที่ประกอบขึ้น

เป็นเรื่องเป็นราว

3. งานศิลปกรรม เช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม ภาพ

พิมพ์ ภาพถ่าย ภาพประกอบ งานสถาปัตยกรรม งานสร้าง

สรรค์รูปทรงสามมิติ

4. งานดนตรีกรรม เช่น ค�

ำร้อง ท�

ำนอง การเรียบเรียงเสียง

ประสานรวมถึงโน้ตเพลง

5. งานโสตทัศนวัสดุ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย

ภาพและเสียงที่สามารถน�

ำมาเล่นซ�้

ำได้

6. งานภาพยนตร์ รวมทั้งเสียงประกอบของภาพยนตร์

7. งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นบันทึกข้อมูลเสียง

8. งานแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น การกระจายเสียงทางวิทยุหรือ

แพร่ภาพและเสียงทางโทรทัศน์

9. งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์

หรือแผนกศิลปะ

การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์

สิทธิในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์

ได้สร้างสรรค์ผลงาน

โดยไม่ต้องจดทะเบียน

ดังนั้นเจ้ าของ

ลิขสิทธิ์ต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเอง โดยการเก็บรวบรวม

หลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงว่าได้ท�

ำการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้นเพื่อ

ประโยชน์ในการพิสูจน์สิทธิ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป

ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์

บุคคลที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้แก่

1. ผู้สร้างสรรค์งาน โดยความคิดริเริ่มของตนเอง ไม่ลอกเลียน

งานของบุคคลอื่นและอาจหมายถึงผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน ด้วย

2. ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง

3. ผู้ว่าจ้างในกรณีว่าจ้างให้บุคคลอื่นสร้างสรรค์งาน

4. ผู้ดัดแปลง รวบรวม หรือประกอบกันเข้า โดยได้รับอนุญาต

จากเจ้าของลิขสิทธิ์

5. กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของ

ท้องถิ่น

6. ผู้รับโอนสิทธิ์

การคุ้มครองลิขสิทธิ์

เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระท�

ำการใด ๆ ต่องาน

อันมีลิขสิทธิ์ของตนดังนี้

1. ท�

ำซ�้

ำหรือดัดแปลง

2. เผยแพร่ต่อสาธารณชน

3. ให้เช่าต้นฉบับหรือส�

ำเนางานโสตทัศนวัสดุภาพยนตร์

สิ่งบันทึกเสียง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์

4. ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น

5. อนุญาตให้ใช้ตาม ข้อ 1, 2 หรือ 3 โดยจะก�

ำหนดเงื่อนไข

อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ก็ได้ที่ไม่เป็นการจ�

ำกัดการแข่งขัน

โดยไม่เป็นธรรม

อายุการคุ้มครอง

โดยทั่วไป การคุ้มครองลิขสิทธิ์จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันที ที่มีการ

สร้างสรรค์ผลงาน ความคุ้มครองนี้จะคุ้มครองตลอดอายุของ

ผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์

เสียชีวิต แต่มีงานบางประเภทที่มีอายุการคุ้มครองที่แตกต่างกันดังนี้

1. กรณีนิติบุคคลเป็นผู้สร้างสรรค์ ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 50 ปี

นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นี

ที่ ั

บี่ ี