Table of Contents Table of Contents
Previous Page  59 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 59 / 62 Next Page
Page Background

59

ปีที่ 44 ฉบับที่ 199 มีนาคม-เมษายน 2559

อาหารกับโฆษณาชวนให้เชื่อ แนวคิดเรื่องอาหารเช้า

ถูกน�

ำมาใช้ โดยนายแพทย์ John Ha r l ey Ke l l ogg

เพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ธัญพืชอาหารเช้าของเขา

เขาใช้ หลายวิธีการในการท�

ำให้ ผู้ คนเชื่อและเปลี่ยน

พฤติกรรมการท�

ำและกินอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย

ทางวิทยาศาสตร์ หรือสื่อโฆษณาเท่าที่มีในยุคนั้น จนใน

ที่สุด ผู้คนก็หันมาซื้อสินค้าของเขาบนความเชื่อในเรื่องของ

การส่งเสริมสุขภาพและความสะดวกรวดเร็วในการจัดการ

เกี่ยวกับอาหารเช้า

อีกกรณีที่ต่ายคิดว่า น่าสนใจทีเดียว เกี่ยวกับ

การใช้ข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาโน้มน้าวให้คน

เปลี่ยนพฤติกรรม อย่างกรณีของ "เบคอน" ที่สมาพันธ์

อุตสาหกรรมการค้าหมูแห่งอเมริกาในอดีต อยากจะกระตุ้น

ยอดขาย "เบคอน" เลยให้นาย Edward Bernays มาช่วยคิด

หาวิธีการกระตุ้นยอดขาย ซึ่งต่ายขอเรียกว่า เขาเป็นนักจิตวิทยา

การโฆษณาชั้นเซียนละกัน เขาใช้ค�

ำถามเพียงค�

ำถามเดียว

โดยถามหมอว่า "อาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพเนี่ยมันจ�

ำเป็น

ใช่ไหม?" และหมอส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่า ใช่ หรือ น่าจะใช่

จากนั้น นาย Edward Bernays ก็ใช้ข้อมูลนี้ประกอบกับ

สื่อโฆษณาของเขาเพื่อกระตุ้นยอดขายเบคอน ส่งผลท�

ำให้เกิด

กระแส กินเบคอนและไข่ดาวเป็นอาหารเช้า ฮิตติดลมบนกัน

มาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว

ภาพที่ 1

ระดับฮอร์โมน Ghrelin ของกลุ่มที่กินอาหารเช้าและกลุ่มที่ไม่กิน

อาหารเช้า (ที่มา NewScientist Magazine, March 26 - April 1, 2016, หน้า 39)

ภาพที่ 2

พลังงานที่ได้รับตลอดทั้งวันของกลุ่มที่กินอาหารเช้าและกลุ่มที่ไม่

กินอาหารเช้า (ที่มา NewScientist Magazine, March 26 - April 1, 2016,

หน้า 40)

วิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

แนวคิดเรื่องอาหารเช้า กับการอดอาหาร หรือยืดระยะเวลา

การอดอาหารเพื่อปรับสมดุลสุขภาพ (การท�

ำ Fasting) ท�

ำให้

เกิดค�

ำถามเพื่อสร้างโจทย์การวิจัยอีกครั้งว่า ตกลง อาหารเช้า

มันดีต่ อสุขภาพตามที่เชื่อกันอยู่ ในตอนนี้ใช่ หรือไม่

งานวิจัยล่าสุดพบว่า เมื่อท�

ำการศึกษาเปรียบเทียบระดับ

ฮอร์โมนความหิว (Ghrelin) ของคนสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่

และจากการศึกษาวิจัยยังพบว่า กลุ่มคนที่กิน

อาหารเช้าจะกินอาหารตลอดทั้งวันในปริมาณที่มากกว่า

กลุ่มที่ไม่กินอาหารเช้า โดยเฉพาะอาหารกลุ่มแป้งและน�้

ำตาล

ท�

ำให้ได้พลังงานมากกว่ากลุ่มที่ไม่กินอาหารเช้า

กินอาหารเช้า และกลุ่มที่ไม่กินอาหารเช้า พบว่า เมื่อถึง

เวลาอาหารกลางวันระดับฮอร์ โมนของคนทั้งสองกลุ่ม

ไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยส�

ำคัญเลย แต่ถ้าคุณดูจากกราฟ

ในภาพประกอบที่ 1 คุณๆ จะเห็นว่า กลุ่มที่อดอาหารเช้า

ระดับฮอร์โมนจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น นั่นหมายความว่า

เขาอาจจะรู้ สึกหิวตะหงิดๆ ส่ วนกลุ่มที่กินอาหารเช้ า

ระดับฮอร์โมนจะลดลงหลังจากได้รับอาหารเช้าแล้วจากนั้น

ก็จะพุ่งพรวดขึ้นมาด้วยระดับความชันที่มากกว่า นั่นแสดงว่า

เขาอาจจะรู้สึกหิวหรือคิดว่าต้องกิน