

51
ปีที่ 41 ฉบับที่ 181 มีนาคม - เมษายน 2556
เสริมการคิด การสำ
�รวจสืบค้น นอกจากนี้ยังจะต้องสามารถดึงดูด
ความสนใจและการมีส่วนร่วมของเด็กในการทำ
�กิจกรรม ไม่ใช่
เป็นเพียงผู้นั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นในจอ และที่สำ
�คัญที่สุดคือส่งเสริมให้มี
การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนหรือตัวเด็กและกับครู ซึ่งจากงาน
วิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าโปรแกรมที่ออกแบบและผลิตออกมา
ในลักษณะดังกล่าวสามารถช่วยพัฒนาเด็กได้มากกว่าโปรแกรม
ที่เด็กได้แต่เพียงฝึกฝน หรือทำ
�แบบฝึกหัดเท่านั้น และนอกจาก
โปรแกรมที่ดีแล้ว ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่จะทำ
�ให้การใช้เทคโนโลยี
เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่
1. ตัวคอมพิวเตอร์เองที่จะต้องรองรับการใช้งานได้อย่าง
ครบครันทั้งในส่วนของการเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ หรือช่วย
ให้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบ
มัลติมีเดีย CD-ROM ระบบ LAN และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ที่ช่วย
ให้เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือสิ่งที่จะสืบค้นได้จริงและทันทีที่
ต้องการ ตลอดจนจำ
�นวนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถรองรับการ
ใช้งานของเด็กได้อย่างเพียงพอ
2. การจัดให้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่ส่ง
เสริมการเรียนรู้ร่วมกับสื่อชนิดอื่น ๆ ภายในชั้นเรียน
3. การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับหลักสูตรและการสอน
โดยจัดกิจกรรมให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความหมายต่อเด็กคือ
เกี่ยวข้องกับตัวเด็ก และเด็กมีความสนใจ และความต้องการที่จะ
เรียนรู้ มิใช่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำ
�ให้เด็กสงบ หรือแยกส่วนออก
เป็นวิชาคอมพิวเตอร์
4. โปรแกรมที่เลือกมาใช้ต้องส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เปิด
โอกาสให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์ และส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ
ดังกล่าวข้างต้น
5. ครูได้รับการอบรมให้เป็นผู้สามารถพัฒนาหลักสูตรและ
แผนการสอนที่สามารถบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับกิจกรรมที่
จัดให้กับเด็กได้ ประกอบกับการอบรมให้ครูเป็นผู้ที่สามารถใช้
เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ
หากทำ
�ได้ดังที่กล่าวมานี้ก็หมายความว่าโปรแกรมนั้นเหมาะ
สมที่จะนำ
�มาใช้ในการจัดการเรียนรู้สำ
�หรับเด็กได้อย่างมีประโยชน์
มากที่สุด และหากสังเกตจะพบว่าคอมพิวเตอร์ (และโปรแกรม)
ดูดี มีภาษีกว่าทีวีอยู่มาก เนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์สามารถให้
ความช่วยเหลือ ส่งเสริม และให้ข้อแนะนำ
�ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ให้กับเด็กเล็ก ๆ ในขณะที่เด็กกำ
�ลังทำ
�กิจกรรมได้ ในสหรัฐอเมริกา
มีการออกแบบและผลิตโปรแกรมขึ้นมาเพื่อช่วยให้เด็กสามารถ
มีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่จำ
�เป็น
ต้องมีทักษะพื้นฐานใด ๆ มาก่อน ทำ
�ให้เด็ก ๆ สนุกกับเรื่องราว
ที่เห็น แม้ว่าเด็กจะยังอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม และยังสามารถ
เปลี่ยนตอนจบของเรื่องได้แม้ว่าจะยังเขียนไม่ได้อีกด้วย เป็นต้น
นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกายังมีการใช้โปรแกรมส่งเสริมการเรียน
รู้ของเด็กทั้งในเรื่องการอ่าน การเขียน การสะกดคำ
� คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้คีย์บอร์ด ศิลปะ รวมถึงเกมการศึกษา
ด้วย และมีงานวิจัยรองรับแล้วว่าการใช้เทคโนโลยีร่วมกับโปรแกรม
ที่เด็กสามารถมีปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการ
ของเด็กเล็ก ๆ ได้จริง
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในประเทศไทยยังมีโปรแกรมอย่างที่
กล่าวมาเหมือนที่ใช้กันในวงการการศึกษาปฐมวัยในสหรัฐอเมริกา
อยู่น้อยมาก และโปรแกรมส่วนใหญ่ก็มักเป็นเกมที่ไม่เหมาะกับเด็ก
เล็ก ๆ ส่วนโปรแกรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ได้บ้างก็ล้วนแต่นำ
�เข้าจาก
ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่ภาษาไทย และส่วนใหญ่จะเน้นให้เด็กทำ
�แบบ
ฝึกหัดทางภาษา คณิตศาสตร์ หรือฝึกทักษะบางอย่างที่เหมาะกับ
เด็กในระดับที่สูงกว่าระดับปฐมวัย โปรแกรมเหล่านี้จึงยังไม่เหมาะ
สมกับเด็กปฐมวัยไทยอย่างแท้จริง
ถึงตรงนี้หากพิจารณาจากเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้
ที่เน้นส่งเสริมพัฒนาการ 4ด้านตลอดจนการพัฒนาของสมอง
และวิธีการเรียนรู้ของเด็กระดับปฐมวัยดังที่ได้กล่าวมาผู้อ่านคง
ตอบได้แล้วว่าการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้สำ
�หรับเด็ก
ปฐมวัยจะช่วยพัฒนาเด็กได้หรือไม่ อย่างไร
บรรณานุกรม
Rhoton, J., & Shane, P. (2006).
Teaching Science in the 21st Century.
Arlington : NSTA press.
Judge, S., Puckett, K., & Cabuk, B. (2004). Digital Equity: New Findings
from the Early Childhood Longitudinal Study.
Journal of Research on
Technology in Education,
36
(4), 383-396.
Van Scoter, J., & Ellis, D. (2001).
Technology in Early Childhood Education:
Finding the Balance.
Northwest Regional Educational Laboratory.
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2546).
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
พุทธศักราช 2546.
โรงพิมพ์คุรุสภา.