Previous Page  50 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 50 / 62 Next Page
Page Background

50

นิตยสาร สสวท.

ได้เรียนรู้โลกรอบตัวและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับตนเอง ซึ่งจะ

สังเกตเห็นได้ในเวลาที่เด็กแสดงพฤติกรรมบางอย่างซ้ำ

�ไปมาอย่าง

ไม่รู้เบื่อ ยกตัวอย่าง เช่น เวลาที่เด็กเล่นกับน้ำ

� หากสังเกตเราอาจ

จะเคยเห็นเด็กเล็ก ๆ สักคนหนึ่งถือภาชนะไปตักหรือรองน้ำ

�มาเท

ใส่ภาชนะอีกอย่างหนึ่ง หรือแม้แต่การราดน้ำ

�ลงบนพื้นอย่างไม่มี

ทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย จนผู้ใหญ่ต้องเข้าไปห้ามปรามหรือตำ

�หนิ

ว่าเด็กดื้อเด็กซนไม่เข้าเรื่องโดยไม่ทราบเลยว่าที่เด็กกำ

�ลังทำ

�อยู่นั้น

เด็กกำ

�ลังเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง เช่น

• ในขณะที่สังเกตการไหลของน้ำ

�จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

� หรือสังเกต

พื้นขณะก่อนเท กำ

�ลังเท และหลังเทน้ำ

�ลงไปว่าเหมือนหรือแตก

ต่างกันอย่างไร เด็กได้พัฒนาด้านสติปัญญาคือเรียนรู้สิ่งรอบตัว

• ในขณะกำ

�ลังควบคุมการเทน้ำ

�ออกจากภาชนะที่ถือไว้ในมือ

ได้ (หรือแม้แต่การเล่นแกล้งทำ

�ให้น้ำ

�หกก่อนเท) เด็กได้พัฒนาด้าน

ร่างกายคือกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรงเพื่อพร้อมต่อการเขียนต่อไป

• ในขณะเล่น เด็กได้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ หรือสามารถ

ทำ

�ได้อย่างที่อยากรู้หรือต้องการทำ

� เด็กได้พัฒนาด้านอารมณ์ เช่น

ความภาคภูมิใจจากการทำ

�สิ่งใดสิ่งหนึ่งสำ

�เร็จ หรือสามารถควบคุม

สถานการณ์ หรือได้ผลตามความต้องการ ฯลฯ

หากเด็กได้ทำ

�กิจกรรมนี้กับเพื่อน หรือแม้แต่ทำ

�กับผู้ใหญ่ เด็ก

ก็จะได้พัฒนาในด้านสังคมเพิ่มขึ้นด้วย จะเห็นว่ากิจกรรมหรือ

การกระทำ

�เล็ก ๆ เพียงเท่านี้แต่กลับล้วนมีความหมายต่อตัวเด็ก

ทั้งสิ้น แล้วเพราะเหตุใดเด็กจึงมีวิธีการเรียนรู้เช่นนี้ บางคนอาจ

จะตอบว่าเพราะว่าเด็กยังมีประสบการณ์ไม่เท่ากับผู้ใหญ่ ซึ่งก็เป็น

เหตุผลที่ถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ครบทั้งหมด เหตุผลที่สำ

�คัญอีก

ประการหนึ่งก็คือในช่วงปฐมวัย (0-6 ขวบ) สมองของเด็กยังคง

มีการพัฒนาและเจริญเติบโต และจะพัฒนาได้ดีที่สุดหากเด็กได้

อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำ

�นวย จากสาเหตุดังกล่าวนี้เองที่เป็น

ที่มาของคำ

�พูดที่มีคนกล่าวไว้ว่า “ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงทองของ

การพัฒนาสมองของมนุษย์” และ “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสีย

แล้ว” นั่นเอง และด้วยสาเหตุที่สมองของเด็กปฐมวัยยังพัฒนา

ได้ไม่สมบูรณ์ เหมือนกับสมองของผู้ใหญ่นี้เองที่ทำ

�ให้เด็กคิดแตก

ต่างไปจากที่ผู้ใหญ่คิด ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่อง เหตุการณ์ หรือกับการ

แสดงออกทางพฤติกรรมอย่างเดียวกันดังตัวอย่างการเทน้ำ

�ข้างต้น

หากเป็นผู้ใหญ่ทำ

� อาจจะทำ

�ด้วยเหตุผล เช่น การรองน้ำ

�ใส่ขวด

ไว้ดื่ม หรือการเทน้ำ

�ลงพื้นเพื่อล้าง หรือชะสิ่งสกปรกออกจากพื้น

ในขณะที่เด็กทำ

�ไปเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำ

� และคิดว่าหากเทซ้ำ

�ต่อ

ไป ๆ จะได้ผลเหมือนเดิมหรือไม่ ครั้งที่หนึ่งกับครั้งต่อไปจะเหมือน

หรือต่างกันอย่างไร เป็นต้น

จากข้อมูลข้างต้นคงจะเห็นภาพกว้าง ๆ แล้วว่าการศึกษา

ปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้เด็ก

มีความพร้อมในการศึกษาในระดับต่อไป เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เรียน

รู้ผ่านการเล่น และสิ่งที่เรียนรู้จะมีความหมายต่อตัวเด็กมากที่สุดก็

ด้วยการลงมือกระทำ

�สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แล้วการใช้เทคโนโลยี

ในการจัดการเรียนรู้จะตอบสนองสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ได้มากน้อย

เพียงใด ก็จะเป็นประเด็นที่จะนำ

�เสนอต่อไป

การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สำ

�หรับเด็กปฐมวัย

ในการที่จะนำ

�คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ในการ

จัดการเรียนรู้สำ

�หรับเด็กเล็ก ๆ สิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการ

ศึกษาให้กับเด็กทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนควรตระหนักและคำ

�นึงถึง

ก็คือเทคโนโลยีนั้นตอบสนองหรือส่งเสริมสิ่งที่เด็กควรได้รับและ

ตรงกับธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ หรือกล่าวให้ง่ายลง

ไปอีกก็คือเด็กได้ทำ

�อะไร และได้รับหรือเรียนรู้อะไรบ้าง เช่น การ

ให้เด็กดูการ์ตูนหรือแม้แต่รายการโทรทัศน์สำ

�หรับเด็กผ่านหน้าจอ

ทีวีที่สามารถให้เด็กดูได้เป็นบางช่วงเวลา แต่ยังไม่เหมาะสมพอที่

จะกล่าวได้ว่าเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เพราะว่า

โทรทัศน์เป็นเพียงภาพ 2 มิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น สิ่งที่

เด็กได้ทำ

�มีเพียงการเป็นผู้ดูที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์หรือโต้ตอบ

ใด ๆ กลับไปสู่ทีวีได้เลย แต่ทีวีก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย

กับผู้ดูแลหรือคนเลี้ยงตรงที่ช่วยให้เด็กอยู่อย่างสงบ (ชั่วคราว) ได้

และการที่เด็กชอบดูทีวีมาก ก็สามารถตอบได้จากงานวิจัยที่พบว่า

ธรรมชาติของสมองของคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะโน้มเอียงไปกับหรือ

ชอบภาพที่เคลื่อนไหวได้มากกว่าการดูรูปภาพนั่นเอง

ถึงตรงนี้คงจะมีคำ

�ถามต่อไปอีกว่าแล้วเทคโนโลยีที่มีอยู่แบบ

ใดที่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่างสูงสุด

บางคนอาจจะบอกว่าเด็กจะได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นจากการใช้เครื่อง

คอมพิวเตอร์ แต่หากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเพียงการชมผ่าน

หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการดูทีวี เด็กเพียง

แต่เปลี่ยนจากการนั่งหน้าจอทีวีมาอยู่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์

เท่านั้นเอง ส่วนคำ

�ตอบของการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ก็ไม่ได้อยู่ที่ความล้ำ

�หน้าทางวิทยาการของตัวเครื่อง (hardware)

แต่กลับอยู่ที่โปรแกรม (software) หรือชุดโปรแกรมที่จะนำ

�มา

ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างหากที่จะต้องตอบสนองต่อทั้ง 2 ข้อ

ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวคือโปรแกรมนั้น จะต้องส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้

สร้างสรรค์ผลงาน สามารถโต้ตอบ และตอบได้หลายคำ

�ตอบ ส่ง