Previous Page  30 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 30 / 62 Next Page
Page Background

ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคม American Academy of

Arts and Sciences ในปี ค.ศ. 1848 และเป็นศาสตราจารย์

กับผู้อ�

านวยการแห่งหอดูดาวที่ Vassar College ด้วย)

เพราะครอบครัว Cooper มีฐานะไม่ดีนัก ดังนั้น Vera จึง

ต้องหาทุนเรียนที่ Vassar College ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่สอนเฉพาะ

ผู้หญิง ห้องเรียนที่นั่นมีเธอเป็นนิสิตเพียงคนเดียว ดังนั้นการ

เรียนการสอนจึงเป็นไปในลักษณะตัวต่อตัวกับอาจารย์ ซึ่งนับ

เป็นเรื่องดี เพราะเธอได้รับความสนใจจากอาจารย์ 100% เต็ม

ในปี ค.ศ. 1948 Vera วัย 20 ปีส�

าเร็จการศึกษาระดับ

ปริญญาตรี และได้เข้าพิธีสมรสกับ Robert Rubin ซึ่งเป็น

นักเคมีเชิงฟิสิกส์ ที่ก�

าลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัย

Cornell ด้วยเหตุนี้ Vera Rubin จึงได้ติดตามสามีไปเรียนต่อ

ที่มหาวิทยาลัย Cornell และได้เรียนกับนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียง

ระดับโลก เช่น Philip Morrison, Richard Feynman และ

Hans Bethe เธอส�

าเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี ค.ศ.

1951 ด้วยวิทยานิพนธ์เรื่อง

ลักษณะการเคลื่อนที่ของกาแล็กซี

109 กาแล็กซี

เมื่อเธอน�

าผลงานวิจัยนี้ไปเสนอในที่ประชุมครั้ง

ที่ 84 ของ American Astronomical Society (AAS) ไม่มี

ใครให้ความสนใจมาก อาจเพราะข้อมูลของเธอยังไม่สมบูรณ์

เธอรู้สึกท้อแท้ แต่สามีก็ยังให้ก�

าลังใจสู้ต่อ โดยบอกเธอว่า การ

เรียนจบปริญญาโททางดาราศาสตร์มิได้หมายความว่า เธอได้

เป็นนักดาราศาสตร์แล้ว เธอจึงมุ่งมั่นจะเรียนปริญญาเอกต่อ

เมื่อครอบครัว Rubin ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่ Washington,

D.C. Vera Rubin ได้ตัดสินใจเรียนดาราศาสตร์ต่อในระดับ

ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Georgetown ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก

ณ ที่นั่นเธอได้พบ George Gamow นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้

มีบทบาทในการน�

าเสนอทฤษฎี Big Bang ของเอกภพ และ

Gamow ได้แนะให้เธอศึกษาการกระจายตัวของกาแล็กซีใน

เอกภพว่า มีรูปแบบเช่นไร ขณะนั้นเธอมีลูก 2 คนแล้ว จึงต้อง

ขอให้บิดา มารดาของเธอมาช่วยดูแลลูก ยามที่เธอไปเรียน และ

เธอขอให้สามีขับรถไปส่งเธอเพื่อจะได้เข้าฟังการบรรยายทัน

เวลา จนเธอส�

าเร็จปริญญาเอกเมื่ออายุ 26 ปี แล้วได้เริ่มอาชีพ

อาจารย์ที่ Montgomery County Community College

ซึ่งเป็นงานที่เธอขอรับเงินเดือนเพียง 2 ใน 3 เพราะเธอจะได้

มีเวลาขับรถไปรับลูก ๆ ที่โรงเรียนทัน อีก 2 ปีต่อมาก็ได้งาน

เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Georgetown

จุดหักเหในชีวิตของ Vera Rubin เกิดในปี ค.ศ. 1963

เมื่อเธอได้ทุนวิจัยไปฝึกงานกับ Margaret Burbridge และ

Geoffrey Burbridge แห่งมหาวิทยาลัย California ที่

San Diego เป็นเวลา 1 ปี โดยต้องใช้กล้องขนาด 82 นิ้ว

ดูดาวที่ McDonald Observatory ที่ Texas เพื่อวัดความเร็ว

ในการหมุนรอบตัวเองของกาแล็กซีเป็นครั้งแรกในประวัติ

ดาราศาสตร์

เมื่อกลับจากเมือง San Diego Vera Rubin ได้ไปติดต่อ

ขอสมัครงานที่ Carnegie Institute of Washington ใน

ต�

าแหน่งอาจารย์ที่ภาควิชา Terrestrial Magnetism ในการ

สัมภาษณ์แทนที่หัวหน้าภาควิชาจะถามค�

าถามวิชาการ เขา

กลับยื่นแผ่นฟิล์มภาพสเปกตรัมของดาวฤกษ์ แล้วขอให้เธอ

วัดความเร็วของดาวเหล่านั้น ซึ่งเธอก็ท�

าได้ส�

าเร็จ จึงได้เข้า

ท�

างานกับ W. Kent Ford ผู้เป็นนักฟิสิกส์ที่เชี่ยวชาญการ

ออกแบบ image tube spectrograph ที่สามารถถ่ายภาพดาว

ด้วยวิธีเก็บแสงได้ดีกว่า และเร็วกว่า spectrograph ธรรมดา

มาก ความสามารถของ Ford ในการออกแบบเครื่องมือ และ

ความสามารถของ Rubin ในการวิเคราะห์ข้อมูล ท�

าให้คนทั้ง

สองมีผลงานตีพิมพ์ร่วมกันมากมาย

ถึงปี ค.ศ.1965 Rubin วัย 37 ปี ได้เป็นสตรีคนแรกที่

ได้รับอนุญาตให้ใช้กล้องดูดาวขนาด 200 นิ้ว (ซึ่งใหญ่ที่สุด

ในโลกขณะนั้น) ที่ภูเขา Palomar ใน California โดยเธอ

ได้เสนอโครงการวิจัยจะวัดความเร็วของดาวฤกษ์ที่ต�

าแหน่ง

ต่าง ๆ ในกาแล็กซี Andromeda M31 ซึ่งเป็นกาแล็กซีที่อยู่

ใกล้โลกที่สุด (2.2 ล้านปีแสง) และสุกใสที่สุด

เกียรติประวัติที่ได้เป็นสตรีคนแรกที่ท�

างานที่หอดูดาว

เป็นเรื่องไม่ธรรมดาส�

าหรับคนทั่วไป เพราะหอดูดาว Palo-

mar มีแต่ผู้ชาย จึงท�

าให้สถานที่นั้นเสมือนเป็น “วัด” แม้แต่

ห้องน�้

าก็มีป

ายปักไว้หน้าห้องว่า “MEN” จน Vera Rubin

ต้องหาห้องน�้

าเล็ก ๆ ใช้ แต่เธอก็ไม่ได้ระบุที่ป

ายว่า ส�

าหรับ

“WOMEN” ขณะท�

างานที่นั่น เธอเป็นคนควบคุมทิศของกล้อง

ระยะเวลาที่ส�

ารวจและต้องระบุว่าเธอต้องการใช้อุปกรณ์ใด

บ้างในการบันทึกภาพ

ในการวิจัยเรื่องนี้ ความรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่นัก

ดาราศาสตร์ทั่วไปต้องใช้ในการอธิบายคือ ทฤษฎีแรงโน้ม

ถ่วง ของ Newton ซึ่งแถลงว่า สสารทุกชนิดดึงดูดกัน

นิตยสาร สสวท.

30