Previous Page  56 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 56 / 62 Next Page
Page Background

56

นิตยสาร สสวท.

ตามปกติเวลาทดลองวิทยาศาสตร์ Cavendish มี Charles Blagden

เป็นผู้ช่วย ครั้นเมื่อ Blagden ได้รับเลือกเป็นเลขานุการของ Royal

Society ท�

ำให้ต้องติดตามนายกสมาคมเดินทางไปเยือนยุโรปบ่อย จึงขอ

ลาออกจากการเป็นผู้ช่วย และ Cavendish ก็ได้ให้เงินตอบแทนเป็นการ

สมนาคุณ 500 ปอนด์ และได้เขียนในพินัยกรรมว่าจะมอบเงิน 15,000

ปอนด์เป็นมรดกให้ Blagden ด้วยเมื่อถึงเวลาที่ Cavendish เสียชีวิต

Henry Cavendish สนใจธรรมชาติหลายเรื่อง และชอบทดลอง

วิทยาศาสตร์เพื่อวัดค่าตัวแปรต่าง ๆ อย่างละเอียด โดยใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ

และใช้คณิตศาสตร์ช่วยเพื่อตั้งกฎและทฤษฎีวิทยาศาสตร์

Cavendish ไม่ชอบถกเถียงเชิงวิชาการกับผู้ใด (นิสัยเหมือน

Newton) ดังนั้น จึงมีผลงานที่ตีพิมพ์จ�

ำนวนค่อนข้างน้อย แต่เขาได้บันทึก

องค์ความรู้ที่เขาพบทุกเรื่องอย่างมีขั้นตอน เมื่อ Cavendish ตาย เขาได้

มอบผลงานทุกชิ้นของเขาแก่ James Clerk Maxwell ซึ่งท�

ำให้Maxwell

ตื่นเต้น เพราะได้พบว่า Cavendish รู้ความจริงของธรรมชาติหลายเรื่อง

ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เช่น เรื่องไฟฟ้าสถิต วิธีวัดค่าของประจุไฟฟ้า และการ

ทดลองให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายคน รวมถึงได้ออกแบบสายล่อฟ้า

ร่วมกับ Benjamin Franklin เพื่อน�

ำไปติดตั้งที่ยอดตึกเป็นการป้องกัน

อันตรายจากฟ้าผ่า

ถึง Cavendish ไม่ชอบเข้าสังคมเลย แต่ก็ได้พยายามฝืนใจโดยการ

ออกงานสังคมในลอนดอนบ้าง เมื่ออายุ 29 ปี Cavendish ได้รับเลือก

เป็นสมาชิกของ Royal Society ซึ่งมีกฎบังคับสมาชิกทุกคนให้น�

ำภาพ

เหมือนของตนมามอบให้สมาคม แต่ Cavendish มิได้ปฏิบัติตาม นายก

สมาคมจึงต้องจ้างจิตรกรมาแอบวาดภาพของ Cavendish ขณะเขานั่ง

กินอาหารเย็นคนเดียว

ผลงานวิทยาศาสตร์ของ Cavendish ที่มีมากมายท�

ำให้ได้รับเลือก

เป็นสมาชิกต่างชาติของ Paris Academy of Sciences และเป็น F.R.S.A.

(Fellow of the Royal Society of Arts) รวมถึงเป็นผู้อ�

ำนวยการที่มีหน้า

ที่ดูแลรับผิดชอบ British Museum ด้วย

เมื่ออายุเกือบ 70 ปี Cavendish ได้ท�

ำการทดลองเรื่องหนึ่งซึ่งท�

ำให้

เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาก นั่นคือ การวัดหาค่าความหนาแน่นเฉลี่ยของโลก

ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีใครในสมัยนั้นรู้ค�

ำตอบ เพราะการจะเอาโลกขึ้นตาชั่ง

นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครท�

ำได้ ดังนั้น Cavendish จึงต้องคิดหาวิธีอื่น คือใช้

กฎของ Newton ซึ่งแถลงว่า แรงดึงดูดโน้มถ่วงระหว่างวัตถุ 2 ก้อนที่มีมวล

M

กับ

m

เมื่ออยู่ห่างกัน

r

จะสามารถหาได้จากสูตร

F = GMm/r

2

ดังนั้น

จากสูตรนี้ ถ้ารู้

m, r, G

ซึ่งเป็นค่าคงตัวโน้มถ่วงสากลและ

F

ก็จะหา

M

ได้

แต่

F

ตามปกติมีค่าน้อยนิดเพราะ

M, m

มีค่าน้อย แต่จะมีค่ามาก

ถ้า

M, m

มีค่ามาก เช่น ในกรณี

M

เป็นมวลดวงอาทิตย์ และ

m

เป็น

มวลโลก

เมื่อไม่รู้วิธีจะวัดมวลของโลก Cavendish จึงสมมุติให้ โลกประกอบ

ด้วยน�้

ำที่ผิวและมีหินที่แกนกลาง แล้วค�

ำนวณพบว่า ความหนาแน่นโดย

เฉลี่ยของโลกมีค่าประมาณ 6 เท่าของความหนาแน่นของน�้

ในปี ค.ศ.1772 ทาง Royal Society ได้ตั้งคณะกรรมการ

ชุดหนึ่งขึ้นมาหามวลของโลก โดยจะวัดแรงดึงดูดระหว่างภูเขากับ

เพนดูลัมที่แขวนอยู่ใกล้ภูเขา แต่ไม่ได้ผล เพราะแรงดึงดูดดังกล่าวมิได้

ท�

ำให้แนวของเพนดูลัมเบี่ยงเบนจากแนวดิ่งมาก นอกจากนี้นักทดลองก็

ไม่รู้ต�

ำแหน่งจุดศูนย์กลางมวล และมวลของภูเขาด้วย

นักฟิสิกส์ชื่อ John Mitchell จึงเสนอวิธีวัดใหม่ โดยให้ศึกษาแรงดึงดูด

ระหว่างทรงกลม 2 ลูกที่รู้ค่ามวล และระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของ

ทรงกลมอย่างแน่ชัด จากนั้นให้น�

ำแรงที่ได้ไปเปรียบเทียบกับแรงที่โลก

ดึงดูดทรงกลม ก็จะท�

ำให้รู้มวลโลก

ในการนี้ Mitchell ได้ออกแบบสร้างตาชั่งบิด (torsion balance)

แต่เขาท�

ำยังไม่ลุล่วงก็เสียชีวิตก่อน Henry Cavendish จึงน�

ำแนวคิด

ของ Mitchell ไปสานต่อ โดยใช้ลูกบอลขนาดเล็ก 2 ลูก และลูกบอล

ขนาดใหญ่ 2 ลูก แล้วน�

ำลูกบอลเล็กทั้งสองไปติดแผ่นที่ปลายท่อนไม้

เบาซึ่งยาวประมาณ 6 ฟุต จากนั้นแขวนท่อนไม้ให้อยู่ในแนวนอนด้วย

ลวดที่ยาว 40 นิ้ว อุปกรณ์นี้ถูกแขวนอยู่ในภาชนะปิด โดยไม่ให้ลม หรือ

ลมหายใจของคนรบกวน และ Cavendish ก็ได้พบว่า เมื่อน�

ำลูกบอล

ขนาดใหญ่ที่มีมวล 150 กิโลกรัม ไปวางใกล้ลูกบอลขนาดเล็ก มีมวล

0.7 กิโลกรัม แรงดึงดูดระหว่างมวลทั้งสองจะท�

ำให้ลวดที่แขวน บิดตัว

ไปเล็กน้อย ซึ่งจะวัดได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ การรู้มวลของลูกบอลทั้งสี่

และระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางมวลของลูกใหญ่กับลูกเล็ก รวมถึงรู้

ค่า

G

โดยประมาณท�

ำให้ Cavendish สามารถวัดมวลของโลกได้ และ

เมื่อรู้รัศมีของโลก เขาก็พบว่า ความหนาแน่นของโลกโดยเฉลี่ย = 5.44

เท่าของความหนาแน่นของน�้

ำ (ค่าปัจจุบันคือ 5.518)

Henry Cavendish เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1810

สิริอายุ 78 ปี

ศพของเขาถูกน�

ำไปฝังที่ All Saints Church ในแคว้น Derby

เพราะเป็นคนไม่มีครอบครัว ดังนั้นเขาจึงได้มอบเงินมรดกทั้งหมดให้

มหาวิทยาลัย Cambridge เพื่อจัดตั้งเป็นทุนวิจัยแก่อาจารย์ และจัดให้มี

ต�

ำแหน่ง Cavendish Professorship of Experimental Physics แห่ง

Cavendish Laboratory ด้วย

ณ วันนี้ เทคนิคการวัดมวลของโลกที่ Henry Cavendish ออกแบบ

ได้ถูกน�

ำไปใช้ในการวัดค่า

G

อย่างละเอียด เป็นการตรวจสอบความถูก

ต้องของทฤษฎีสนามของ Dirac ซึ่งได้ตั้งสมมติฐานว่า

G

มิได้มีค่าคงตัว

แต่ขึ้นกับเวลา

ดังเช่นในปี ค.ศ. 1996 Jens Gundlach แห่งมหาวิทยาลัย

Washington ได้วัดค่า

G

โดยใช้เลเซอร์วัดมุมที่ลวดบิดไปซึ่งมีขนาดเล็ก

มาก และให้ระบบกวัดแกว่งไปมาในสุญญากาศด้วยคาบละ 10 นาที เขา

ได้พบว่า

G

มีค่าไม่เปลี่ยนแปลงคือคงตัวอย่างผิดพลาดไม่เกิน ±0.0015%

อีก 4 ปีต่อมา เขาก็ได้วัดค่า

G

อีก และพบว่า ค่า

G

ที่วัดได้ ผิด

พลาดไม่เกิน ±0.0014%

บรรณานุกรม

Krebs, R. E. (2004).

Groundbreaking Scientific Experiments, Inventions,

and Discoveries of the Middle Ages and the Renaissance.

London:

Greenwood Press.