Previous Page  4 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 4 / 62 Next Page
Page Background

1) การสืบเสาะหาความรู้แบบยืนยัน (Confirmed Inquiry)

เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้นักเรียนเป็นผู้ตรวจสอบความรู้

หรือแนวคิด เพื่อยืนยันความรู้หรือแนวคิดที่ถูกค้นพบมาแล้ว

2) การสืบเสาะหาความรู้แบบน�

ำทาง (Directed Inquiry)

เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้นักเรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่

ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้ก�

ำหนดปัญหา และสาธิตหรืออธิบาย

การส�

ำรวจตรวจสอบ แล้วให้นักเรียนปฏิบัติการส�

ำรวจตรวจสอบ

ตามวิธีการที่ก�

ำหนด

3) การสืบเสาะหาความรู้แบบชี้แนะ (Guided Inquiry)

เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้นักเรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่

ด้วยตนเอง โดยนักเรียนเป็นผู้ก�

ำหนดปัญหา และครูเป็นผู้ชี้แนะ

แนวทางการส�

ำรวจตรวจสอบ รวมทั้งให้ค�

ำปรึกษาหรือแนะน�

ให้นักเรียนปฏิบัติการส�

ำรวจตรวจสอบ

4) การสืบเสาะหาความรู้แบบเปิด (Open Inquiry)

เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้นักเรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่

ด้วยตนเอง โดยให้นักเรียนมีอิสระในการคิด เป็นผู้ก�

ำหนดปัญหา

ออกแบบ และปฏิบัติการส�

ำรวจตรวจสอบด้วยตนเอง

การแบ่งการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะออกเป็น4 ระดับนี้เปรียบ

เสมือนการก้าวขึ้นบันได 4 ขั้น ช่วยท�

ำให้ครูมองเห็นภาพว่า

ครูสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะเป็น 4

รูปแบบตามจุดประสงค์ของกิจกรรมและเป้าหมายของครู

แต่ในทางปฎิบัติ ครูอาจยังคงพบปัญหาในการเลือกระดับที่

เหมาะสมกับห้องเรียนของตน หรือ ครูจะออกแบบกิจกรรม

การเรียนรู้เพื่อก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปได้อย่างไร อีกประเด็นหนึ่ง

ที่ส�

ำคัญก็คือ การจัดการเรียนรู้แบบบันได 4 ขั้นนี้อาจจะเป็นการ

ช่วยย�้

ำความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่เชื่อว่า การจัดการเรียนรู้แบบ

สืบเสาะหาความรู้แบบเปิด หรือ การจัดการเรียนรู้แบบ

สุดโต่ง

นี้ เป็ นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่ดีที่สุดที่ทุกห้ องเรียน

วิทยาศาสตร์ควรจะปฏิบัติตาม แนวคิดหนึ่งที่อาจช่วยขจัดปัญหา

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

และช่วยให้ผู้สอนเชื่อมโยงทฤษฎีสู่การปฏิบัติจริงก็คือแนวคิด

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะแบบต่อเนื่อง (Inquiry

Continuum)

4

นิตยสาร สสวท.

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนอีกแบบหนึ่งที่พบในครูวิทยาศาสตร์

เป็นความเข้าใจที่ตรงกันข้ามกับความคลาดเคลื่อนแบบ

น้อยไป

นั่นก็คือ ความคลาดเคลื่อนที่อยู่ในรูปแบบ

มากไป

หรือ

สุดโต่ง

ความเข้าใจแบบนี้คือการที่ครูเข้าใจว่าห้องเรียนแบบสืบเสาะคือ

ห้องเรียนที่กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวนักเรียนเอง

ทั้งหมด นั่นหมายความว่าครูจะท�

ำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ หรือ

ยืนอยู่ห่าง ๆ คอยช่วยเหลือเฉพาะเวลาที่นักเรียนต้องการเท่านั้น

การจัดการเรียนรู้แบบนี้ นักเรียนจะเป็นผู้ก�

ำหนดทิศทางของ

ห้องเรียนและด�

ำเนินการหาความรู้ทุกอย่างด้วยตัวนักเรียนเอง

ซึ่งนักเรียนจะเป็นผู้ตั้งค�

ำถามที่นักเรียนสนใจด้วยตัวเอง จากนั้น

นักเรียนต้องออกแบบวิธีการหาค�

ำตอบของค�

ำถามเหล่านั้นด้วยตัวเอง

อาจจะอยู่ในรูปแบบของการท�

ำการทดลอง หรือการค้นคว้าหาข้อมูล

จากนั้นนักเรียนก็ต้องเก็บข้อมูล ประมวลผลการทดลองหรือ

ข้อมูลที่ได้ออกมาเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยตอบ

ค�

ำถามแรกเริ่มนั้น จากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการจัด

การเรียนรู้แบบ

สุดโต่ง

นี้จะพบว่าครูจะมีบทบาทน้อยมากในห้องเรียน

ท�

ำให้ครูมองห้องเรียนแบบสืบเสาะเป็นห้องเรียนที่เกิดขึ้นได้จริงยาก

หรืออาจเกิดขึ้นได้เฉพาะในอุดมคติเท่านั้น จนท�

ำให้ครูท้อแท้

เพราะมองไม่ เห็นทางว่ าจะจัดการห้องเรียนและควบคุม

พฤติกรรมของนักเรียนของตนอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้ได้จริงเมื่อ

ต้องยกความรับผิดชอบทุกอย่างให้กับนักเรียน

ความหลากหลายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งที่อยู่ในรูปแบบมากไปหรือน้อยไป มีส่วน

ส�

ำคัญมากที่ท�

ำให้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะในห้องเรียน

ไม่ประสบความส�

ำเร็จเท่าที่ควร ในความเป็นจริงแล้วการจัดการ

เรียนรู้แบบสืบเสาะมีหลากหลายรูปแบบ ที่ผ่านมามีการน�

ำเสนอ

แนวคิดความหลากหลายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ (สสวท, 2549) คือ