

51
ปีที่ 44 ฉบับที่ 202 กันยายน - ตุลาคม 2559
ส�ำหรับเรื่องการฝึกวินัยในโรงเรียนนั้น Nambu เล่าว่า
เมื่อถึงเวลาตี 4 ทุกคนต้องตื่นนอน และเดินเท้าไกล 2 กิโลเมตร
เพื่อไปฝึกการต่อสู้ป้องกันตนเอง และนักเรียนทุกคนต้องท�ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่โรงเรียน และผู้อาวุโสก�ำหนด นอกจากนี้
โรงเรียนก็ยังเน้นเรื่องความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิด้วย
ทว่าบิดาของ Nambu พยายามอบรมสั่งสอนลูกชาย
มิให้หลงทาง และห้ามไม่ให้ Nambu คบเพื่อนบางคน Nambu
จึงเป็นเด็กที่เก็บกดความรู้สึก ชอบครุ่นคิด และไม่ชอบออก
ความเห็นใดๆ ตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก เพราะในความรู้สึกลึกๆ
Nambu ต้องการปฏิเสธไม่ยอมรับค่านิยมและความเชื่อของ
สังคมญี่ปุ่นในสมัยนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกอึดอัดมากที่เห็นชาวญี่ปุ่น
ก�ำลังคลั่งชาติมากขึ้นทุกวัน
ในปี ค.ศ. 1937 Nambu วัย 16 ปีได้เข้าเรียนที่
มหาวิทยาลัย Tokyo Imperial ซึ่งเป็นสถาบันที่มีบรรยากาศ
วิชาการดีมาก แต่พบว่าเรียนวิชาอุณหพลศาสตร์โดยเฉพาะเรื่อง
เอนโทรปี (entropy) ไม่รู้เรื่อง ท�ำให้สอบวิชาอุณหพลศาสตร์ตก
จึงคิดจะเลิกเรียนฟิสิกส์ แต่เมื่อได้อ่านผลงานวิจัยของฮิเดะกิ
ยูกาว่า (Hideki Yukawa รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี ค.ศ. 1949)
เรื่องทฤษฎีอันตรกริยานิวเคลียร์ระหว่างอนุภาคมูลฐาน เช่น
โปรตอนกับนิวตรอนว่าเกิดจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคmeson กัน
Nambu ชอบแนวคิดนี้มาก จึงตัดสินใจเรียนฟิสิกส์จนส�ำเร็จ
ปริญญาตรีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Tokyo ในปี ค.ศ. 1942
ในช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นก�ำลังท�ำสงครามกับจีน และได้
ชัยชนะ เมื่อมีสงครามญี่ปุ่นจึงต้องเกณฑ์ประชาชนจ�ำนวนมาก
เป็นทหาร ดังนั้นหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจึงถูกปรับลด
เวลาเรียนลง เพื่อให้นิสิตส�ำเร็จการศึกษาเร็วขึ้น หลังจากที่ส�ำเร็จ
การศึกษา Nambu ได้เข้ารับราชการทหาร และต้องปฏิบัติงาน
ทุกอย่างตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง ท�ำให้รู้สึกเหนื่อย เบื่อ และ
ท้อแท้ เพราะในบางวันต้องลงพื้นที่ขุดสนามเพลาะ และใช้ชีวิต
ในสมรภูมิจริงๆ
หลังจากรับราชการทหารนาน 1 ปี Nambu ถูกส่งเข้า
ท�ำงานหน่วยวิจัยและพัฒนาเทคนิคการรับ-ส่งเรดาร์ ผลปรากฏ
ว่า โครงการนี้ล้มเหลว เพราะขณะเรดาร์ไม่ “เห็น” เครื่องบิน
ตาเปล่าของคนกลับเห็น
Nambu ได้กลับมาสนใจเรื่องทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ต่อ
เมื่อได้อ่านผลงาน Quantum Electrodynamics (QED) ของ
Sin-Itiro Tomonaga (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี ค.ศ. 1965)
และทฤษฎีสนามควอนตัมของ Werner Heisenberg (รางวัล
โนเบลสาขาฟิสิกส์ปี ค.ศ. 1932) โดยหนังสือเหล่านี้เดินทางมาถึง
ญี่ปุ่นด้วยเรือด�ำน�้ำ Nambu จึงได้แนวคิดที่ทันสมัยมากมาย
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Nambu ได้พบรักกับ
Chieko และได้สมรสกัน แต่แยกกันอยู่ โดยภรรยายังพักอยู่กับ
พ่อและแม่สามีที่ Osaka ส่วน Nambu เดินทางไปวิจัยที่โตเกียว
สังคมญี่ปุ่นหลังสงครามโลกเป็นภาวะที่ชาวญี่ปุ่น
ล�ำบาก เพราะที่พัก อาหาร และแม้แต่น�้ำอาบก็ขาดแคลน
สินค้ามีราคาแพงมาก Nambu ต้องเช่าห้องขนาดเล็กอยู่ และ
จุดเทียนไขเพื่ออ่านหนังสือและอ่านข่าวจากนิตยสาร Time
แต่ได้สนทนา และเขียนจดหมายติดต่อกับ Ziro Koba ซึ่งเป็น
ศิษย์ของ Tomonaga บ้าง เวลาท�ำงานวิจัย Nambu ต้องใช้
กระดาษห่อหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษค�ำนวณ
ในปี ค.ศ. 1949 Nambu วัย 28 ปี ได้งานที่
มหาวิทยาลัย Osaka และเริ่มมีชื่อเสียงจากผลงานทฤษฎี
ฟิสิกส์อนุภาคมูลฐาน เมื่อได้เสนอแนวคิดเรื่องความส�ำคัญ
และบทบาทของสมมาตร ( symme t r y ) ในทฤษฎีของ
อันตรกิริยา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อใดที่ระบบปราศจากสมมาตร
จะมีอนุภาคเกิดขึ้นในระบบนั้นทันที โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า
ถ้ามีจานข้าวสองใบที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ (ระบบมี
สมมาตรเท่ากับ 2) และมีสุนัขตัวหนึ่งซึ่งกินข้าวได้ครั้งละจาน
หลังจากที่สุนัขกินข้าวไปจานหนึ่ง จานทั้งสองจะแตกต่างกัน
นั่นคือ สมมาตรของทั้งระบบก็แตกสลาย แต่สุนัขของ Nambu
ไม่ติดใจกินข้าวในจานหนึ่งเพียงจานเดียว แต่สลับกินไป-มา
สุนัขจึงเป็นสิ่งที่ท�ำให้สมมาตรของระบบแตกสลาย ในท�ำนอง
เดียวกัน เวลาสมมาตรของระบบควอนตัมแตกสลาย จะมี
อนุภาคโบซอน (boson) เกิดขึ้น
ภาพ
Nambu ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์
แห่งมหาวิทยาลัย Chicago
ที่มา:
http://mag.uchicago.edu/nambu