

44
นิตยสาร สสวท.
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน
เป็นผลที่เกิดจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสู่บรรยากาศ จาก
การใช้พลังงานในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยเฉพาะพฤติกรรม
การบริโภคที่เกินความพอดี แล้วส่งผลร้ายกลับมาทำ
�ลายมนุษย์
และสรรพสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันเองในที่สุด ปัจจุบันคงไม่มีประเทศใด
ในโลกนี้ที่จะสามารถบริหารจัดการผลกระทบของภาวะโลกร้อน
ได้โดยลำ
�พัง จริงแล้ว ๆ กระแส “โลกาภิวัตน์ด้านสิ่งแวดล้อม”
(Environmental Globalization) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่น้อย
กว่า 21 ปี ตั้งแต่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและ
การพัฒนา (United Nations Conference on Environment
and Development : UNCED) หรือ การประชุม Earth Sum-
mit ณ นครรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งได้
นำ
�แนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับ “การพัฒนา” เกิดเป็น
แนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ต้องสร้างความ
สมดุลระหว่าง 3 เสาหลัก คือ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แนวคิดดังกล่าวได้ถูกยอมรับในเวทีประชาคมโลก และแพร่หลาย
ไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก และนำ
�ไปสู่การจัดทำ
�ความตกลงด้านการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่วนหนึ่งในนั้นคือการกำ
�หนดเป้า
หมายการลดแก๊สเรือนกระจก (โดยไม่มีพันธกรณีบังคับ) และกรอบ
แนวทางการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ กระแสโลกาภิวัตน์ทางด้าน
สิ่งแวดล้อม ยังส่งผลให้เกิดการประชุมระดับโลกด้านการพัฒนาที่
ยั่งยืนในอีก 10 ปีต่อมา คือ World Summit on Sustainable
Development : WSSD ณ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐ
แอฟริกาใต้ ใน ปี พ.ศ. 2545 สำ
�หรับประเทศไทยเองได้มีส่วนร่วม
ลงนามและให้สัตยาบัน ในปฏิญญาและอนุสัญญาจากการประชุม
ดังกล่าวทั้งในปี พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2545 จากการปฏิบัติตาม
กรอบดังกล่าว ทำ
�ให้เกิดการเปลี่ยนแนวนโยบาย สถาบัน องค์กร
และกิจกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยอาจถือได้ว่าเป็นการ
วางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ปัจจุบันสำ
�นักงานคณะ
กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำ
�หน้าที่
เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการวางแผนและประเมินผลการ
พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยมีการนำ
�กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน
จากแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) ผนวกหรือบูรณาการเข้ากับ
กลไกที่เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาที่มีอยู่ ซึ่งมีอยู่ 2 แนวทางที่
สำ
�คัญคือการบูรณาการกับกฎหมาย ได้แก่รัฐธรรมนูญ(รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และ 2550) หรือกฎหมายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ และการบูรณาการกับ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทใน
การพัฒนาประเทศไทย
การนำ
�กรอบแนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้เป็นหลัก
สำ
�หรับการพัฒนาประเทศ ปรากฏชัดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ซึ่งแตกต่าง
จากแผนพัฒนาฯ ฉบับก่อน ซึ่งมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่กับการพัฒนาสังคม โดย
มุ่งเปลี่ยนให้ “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเน้นการ
สร้างความสมดุลแก่การพัฒนาในทุก ๆ ด้าน คือเปลี่ยนจากวิธี
การพัฒนาแบบแยกส่วนมาเป็นบูรณาการแบบองค์รวม เช่น
เดียวกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) ซึ่งน้อมนำ
�
ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)”
มาใช้เป็นแนวทางการพัฒนา และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10
(พ.ศ. 2550-2554) ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสังคมไทยสู่ “สังคมที่
มีความสุขอย่างยั่งยืน (Green Society)” ซึ่งเน้นการพัฒนาในทาง
สังคม เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่าง
บูรณาการและเกื้อกูลกัน ปัจจุบันในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11
(พ.ศ. 2555-2559) ยังคงน้อมนำ
�หลักปรัญชาของเศรษฐกิจ
พอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ โดยมีจุดเน้น