Previous Page  4 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 4 / 62 Next Page
Page Background

นิตยสาร สสวท.

4ิ

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์

ในโรงเรียนยังไม่ บรรลุตามเป้ าหมายมากนัก กล่ าวคือ

ความสามารถในการเรียนวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในระดับไม่น่าพอใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์

การเชื่อมโยงความรู้และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจ�

ำวัน

ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ส�

ำคัญประการหนึ่งของการจัดการเรียน

การสอนวิทยาศาสตร์ (กรมวิชาการ, 2545) ทั้งนี้เนื่องจาก

การจัดการเรียนการสอนยังคงเน้นการจดจ�

ำเนื้อหามากกว่า

การพัฒนากระบวนการคิด นักเรียนขาดโอกาสในการถามค�

ำถาม

จากความสงสัยของตนเอง นักการศึกษารวมถึงสถาบัน

การศึกษาที่รับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาทุกระดับต่ าง

เห็นถึงความจ�

ำเป็นในการแก้ปัญหาเหล่านี้ จึงมุ่งเน้นพัฒนาการ

เรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ให้นักเรียน

มีโอกาสได้ทดลองหรือลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ให้นักเรียนเปลี่ยน

วิธีการเรียนจากการเน้นเนื้อหาและการท่องจ�

ำมาเป็นแบบที่

เน้นการค้นคว้า การคิด การตั้งข้อสงสัย ส่งเสริมให้มีการใช้

ค�

ำถาม การทดลอง และการปฏิบัติมากขึ้น นักเรียน

เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ทั้งนี้จากรายงานของส�

ำนักนโยบาย

และแผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (2542) พบว่า

การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นให้นักเรียนปฏิบัตินั้น

มักเป็นการปฏิบัติตามวิธีการที่บทเรียนก�

ำหนด นักเรียน

ยังไม่ค่อยมีโอกาสคิดหาวิธีทดลองด้วยตนเอง หรือไม่มีโอกาส

ที่จะเรียนรู้สิ่งที่ตนเองอยากรู้ เพราะต้องปฏิบัติตามบทเรียน

ในหนังสือเรียนหรือคู่มือเพื่อให้ได้แนวคิดหรือความรู้ตามที่

บทเรียนหรือที่ครูก�

ำหนด การแก้ปัญหาการเรียนการสอน

วิทยาศาสตร์จึงอยู่ที่ว่าจะสอนหรือด�

ำเนินการอย่างไรจึงจะ

แก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น จะท�

ำอย่างไรให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนสูงขึ้น มีทักษะในการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ

ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กล่าวถึง

แนวการจัดการศึกษาว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้อง

จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการคิด

เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง

ฝึกการปฏิบัติ ให้ท�

ำได้ คิดเป็น ท�

ำเป็น

ครูมีความส�

ำคัญและมีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนา

คุณภาพการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ดังนั้นครูควร

ได้รับการพัฒนา เพิ่มพูนความรู้และสร้างความเข้าใจในบริบท

ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นองค์ประกอบส�

ำคัญของการจัด

การเรียนการสอน กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต่าง ๆ

ได้ให้ความส�

ำคัญกับการพัฒนาครูวิทยาศาสตร์และจัดให้มี

การพัฒนาในหลายด้านและหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจากรายงาน

การวิจัยและพัฒนานโยบายการพัฒนาครูและบุคลากรทาง

การศึกษาของส�

ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวง

ศึกษาธิการ (2553) ในด้านการศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนา

ครูพบว่า มีปัญหาในด้านต่าง ๆ ดังนี้

Renn i e และคณะ ( 2001 ) ได้ เสนอว่ านอกจาก

การให้ความส�

ำคัญกับการพัฒนาครูตามความต้องการแล้ว

ควรให้ความส�

ำคัญกับการติดตาม การให้ค�

ำปรึกษา ช่วยเหลือ

เนื่องจากครูมาเข้ารับการอบรมหรือพัฒนาในช่วงสั้น ๆ ส่วนใหญ่

ไม่ ได้ รับการฝึกฝนให้ เกิดความรู้ ความช�

ำนาญจนกระทั่ง

มั่นใจที่จะน�

ำไปใช้และขยายผลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เมื่อครูกลับไป

สู่ห้องเรียนแล้วไม่สามารถใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้

รับจากการอบรมได้อย่างเต็มที่เพราะขาดระบบการติดตามช่วย

เหลือ

แม้ว่าปัจจุบันจะมีสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่ครูสามารถศึกษาด้วย

ตนเองได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการท�

ำงาน การเรียนรู้ร่วมกัน

การมีที่ปรึกษาคอยช่วยเหลือครูยังมีความส�

ำคัญอยู่มาก เนื่องจาก

สามารถท�

ำให้ครูเกิดความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้มี

การติดตาม ให้ค�

ำปรึกษา และให้ความช่วยเหลือแก่ครู

ส�

ำหรับประเทศไทยบุคลากรหลักที่ท�

ำหน้าที่ในการติดตาม

ช่วยเหลือครู คือ ศึกษานิเทศก์ แต่จ�

ำนวนบุคลากรที่ท�

ำหน้าที่

มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของครู ท�

ำให้ไม่สามารถช่วยเหลือ

ดูแลครูได้อย่างทั่วถึง และจากสภาพปัญหาและความต้องการ

ของโรงเรียนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ดังนั้นควรส่งเสริมให้

เกิดระบบการช่วยเหลือพึ่งพากันเองของครูวิทยาศาสตร์ใน

โรงเรียนหรือภายในโรงเรียนเครือข่าย ตัวอย่างเช่น ควรส่งเสริม

ให้มีระบบพี่เลี้ยงในโรงเรียนที่มีลักษณะการด�

ำเนินการอย่างมี

ส่วนร่วม โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งพัฒนาวิชาชีพโดยเกิดการเรียน

รู้จากการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน โดย

เฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนมีบุคลากรส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพสูงอยู่แล้ว

การนิเทศภายในจะช่วยกระตุ้นครูให้พัฒนาศักยภาพของ

- ขาดการวางแผนการพัฒนาครูเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

ต่าง ๆ ทางการศึกษา

- ขาดการส�

ำรวจวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่เป็นปัจจัยร่วมใน

การพัฒนา ได้แก่ ความต้องการและความจ�

ำเป็นของผู้เข้ารับการ

พัฒนา ประสบการณ์ ความรู้พื้นฐาน และการก�

ำหนดกลุ่ม

เป้าหมายในการพัฒนาไม่ชัดเจน

- การพัฒนาครูท�

ำได้ไม่ทั่วถึงและไม่ต่อเนื่อง

- การพัฒนาครูส่วนใหญ่เป็นการวางแผนพัฒนาตามนโยบาย

จากส่วนกลาง ท�

ำให้ครูไม่มีส่วนร่วมในการวางแผนและการ

ออกแบบหลักสูตร

นอกจากปัญหาของการพัฒนาครูข้างต้นแล้วยังพบว่าครูบาง

ส่ วนยังขาดความตระหนักและความกระตือรือร้ นใน

การพัฒนาตนเอง รวมทั้งการฝึกปฏิบัติและการพัฒนาอย่าง

ต่อเนื่องหลังเข้ารับการอบรมครู เนื่องจากขาดการติดตาม

ช่วยเหลือหลังครูเข้ารับการพัฒนา ท�

ำให้ครูไม่สามารถประยุกต์

ความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่มั่นใจ ไม่สามารถพึ่งพาตนเอง

อย่างยั่งยืนได้ การติดตามช่วยเหลือครูหลังการพัฒนาจึงเป็น

ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้การพัฒนาครูประสบความส�

ำเร็จมากยิ่งขึ้น