

17
ปีที่ 42 ฉบับที่ 190 กันยายน- ตุลาคม 2557
รูปที่ 2 แสดงการละลายของน�้
ำแข็งและ
การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ
ในปริมาณที่ต่างกัน เมื่อน�้
ำแข็งเริ่มละลาย
ช้ าลงคาร์บอนไดออกไซด์ จากบรรยากาศถูก
ดูดซึมมากขึ้น (ที่มา:
https://smap.jpl.nasa.gov/science/)
ฝน
มหาสมุทร
รูปที่ 1 แสดงวัฏจักรน�้
ำและพลังงาน
ประกอบด้ วย การคายน�้
ำของพืช
การระเหยจากมหาสมุทรและจากพื้นดิน
การระเหยกลายเป็นไอน�้
ำ และรวมตัว
เป็นหยดน�้
ำฝนหรือหิมะตกลงมาสู่พื้นดิน
ซึ่งอาจซึมลงใต้ดิน หรือไหลลงสู่แม่น�้
ำ
หรือทะเล พลังงานแสงอาทิตย์แผ่รังสีลง
มายังพื้นโลก เป็นพลังงานเพื่อใช้ใน
การระเหยของน�้
ำ ขึ้นสู่บรรยากาศ รวมตัว
เป็นเมฆและสะท้อนกลับมายังพื้นดิน
อีกครั้ง
โดยทั่วไปเห็นได้ชัดว่าความชื้นในดิน มีผลโดยตรงต่อการคายน�้
ำและการเจริญเติบโตของพืช ความชื้นในดินและการคายน�้
ำ
ของพืชนั้นมีผลต่อสภาพอากาศ และภูมิอากาศในแต่ละท้องถิ่น เช่น การเกิดเมฆและปริมาณน�้
ำฝนซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพที่ดินในบริเวณ
ดังกล่าว ตามรูปที่ 3 พบว่า เมฆเกิดจากผลของการคายน�้
ำในป่าแถบแม่น�้
ำอเมซอน ไม่มีเฆมที่ก่อตัวบริเวณที่น�้
ำท่วม หรือไม่มีพืชขึ้น
เมื่อน�้
ำระเหยจากแม่น�้
ำอเมซอน อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบติดกับพื้นดิน อุณหภูมิจะร้อนมาก ท�
ำให้เมฆไม่สามารถก่อตัวได้ ในขณะ
เดียวกันน�้
ำที่ระเหยจากยอดไม้ในระดับสูงมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าท�
ำให้เกิดการควบแน่นเป็นเมฆได้อย่างรวดเร็ว เมื่อไอน�้
ำกลั่นตัวเป็น
เมฆส่งผลให้มีการคายความร้อนสู่บรรยากาศ