Previous Page  23 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 23 / 62 Next Page
Page Background

23

ปีที่ 42 ฉบับที่ 190 กันยายน- ตุลาคม 2557

1. การรับเสียงในปลา

ในปลา เสียงจากภายนอกสามารถถูกส่งผ่านไปยังหูชั้นในได้

หลายทาง เนื่องจากเนื้อเยื่อของปลามีองค์ประกอบหลักส่วนใหญ่

เป็นน�้

ำ และมีสมบัติของคลื่นเสียงคล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อม

ในน�้

ำที่มันอาศัยอยู่ คลื่นเสียงจึงสามารถผ่านเนื้อเยื่อของปลา

เข้าสู่หูชั้นในได้โดยตรง ในปลาบางชนิดมีกระเพาะลม (swim

bladder) อยู่ทางด้านบนของท่อทางเดินอาหาร ที่ส่วนปลาย

ของกระเพาะลมมีโครงสร้างยื่นออกมาทางด้านหน้าสองอัน

(bulla) ไปติดต่อกับหูชั้นในของแต่ละข้าง ขณะที่บางชนิด

กระเพาะลมจะไปเชื่อมต่อกับชุดของกระดูกเล็ก ๆ ที่เรียกว่า

Weberian ossicles ซึ่งพัฒนามาจากกระดูกซี่โครง (รูปที่ 1)

เมื่อคลื่นเสียงกระทบผ่านล�

ำตัวของปลา จะท�

ำให้เกิดแรงอัดของ

อากาศในกระเพาะลม แรงสั่นสะเทือนของผนังกระเพาะลม

จะถูกส่งผ่าน bulla หรือ Weberian ossicles ไปยังตัวรับเสียง

ในหูชั้นใน ระบบการท�

ำงานร่วมกันระหว่างกระเพาะลม และ

Weberian ossicles มีความคล้ายคลึงกับการท�

ำงานของเยื่อ

แก้วหู และกระดูกหูสามชิ้นของหูชั้นกลาง (ค้อน ทั่ง และโกลน)

ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้

ำนม (รูปที่ 4)

นอกจากนี้ ปลายังสามารถใช้ระบบเส้นข้างตัว (lateral line)

ในการตรวจจับเสียงความถี่ต�่

ำได้อีกด้วย พบว่าในปลาฉลามและ

ปลากระเบน เส้นข้างตัวมีความไวสูงสุดในการรับเสียงความถี่

ช่วง 50 ถึง 150 เฮิรตซ์ ในพวกปลากระดูกแข็งที่มี bulla ยื่น

จากกระเพาะลม คลื่นเสียงที่รับโดยเส้นข้างตัวที่บริเวณหัว

สามารถส่งผ่านต่อไปยัง bulla แล้วถ่ายทอดไปยังหูชั้นในได้

เนื่องจากหัวของปลามีรูปร่างเรียวแคบ และเสียงเคลื่อนที่ใน

น�้

ำได้เร็วกว่าบนบกมาก ท�

ำให้การวิเคราะห์แหล่งก�

ำเนิดเสียงจาก

ความแตกต่างของเวลา หรือความเข้มเสียงที่ไปถึงหูแต่ละข้าง

เป็นไปได้ยาก ปลาหลายชนิดจึงอาศัยความแตกต่างของขั้ว

สัญญาณเสียงที่รับโดยเซลล์รับเสียง (hair cells) ในหูชั้นใน

ทั้งสองข้างเป็นตัววิเคราะห์ทิศทางของแหล่งก�

ำเนิดเสียงแทน

รูปที่ 1

การท�

ำงานร่ วม

กันของกระเพาะลม

และ Weberian

ossicles ในการ

ส่งผ่านเสียงเข้าสู่

หูชั้นใน

ส�

ำหรับสัตว์ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตจากในน�้

ำขึ้นมาอยู่บนบก

หูที่เคยปรับเข้ ากับสภาพแวดล้ อมในน�้

ำก็ต้ องเผชิญกับ

สภาพแวดล้อมใหม่ที่เป็นอากาศแทน เนื่องจากอากาศมีความ

หนาแน่นต่างจากน�้

ำมาก ปริมาณของพลังงานเสียงที่ท�

ำให้เกิด

การสั่นของโมเลกุลจึงแตกต่างกัน อากาศมีความหนาแน่นน้อย

กว่าน�้

ำ นั่นหมายความว่า อากาศใช้พลังงานในการสั่นของ

โมเลกุลน้อยกว่าน�้

ำ เมื่อเสียงในอากาศเคลื่อนที่มาถึงบริเวณ

ผิวรอยต่อระหว่างอากาศและน�้

ำ พลังงานเสียงจะถูกสะท้อนกลับ

และไม่สามารถกระตุ้นโมเลกุลในของเหลวได้ ดังนั้น การส่ง

พลังงานเสียงจากอากาศไปยังของเหลวในหูชั้นในจึงเป็นปัญหา

พื้นฐานของพวกสัตว์สี่เท้า โครงสร้างของหูชั้นนอกและหู

ชั้นกลางจึงถูกวิวัฒนาการขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยจะช่วย

รวบรวม ขยาย และส่งพลังงานเสียงจากอากาศไปยังหูชั้นในใน

ปริมาณที่มากพอที่ท�

ำให้เกิดการสั่นของโมเลกุลของของเหลวใน

หูชั้นใน และกระตุ้นเซลล์รับเสียงได้

2. การรับเสียงในสัตว์สะเทินน�้

ำสะเทินบก

ในกบ หูชั้นนอกประกอบด้วยส่วนของเยื่อแก้วหู หูชั้นกลาง

ประกอบด้วย กระดูก columella และกระดูก operculum

โดยกระดูก columella จะต่อกับเยื่อแก้วหู พาดผ่านโพรงของ

หูชั้นกลาง (tympanic cavity) ไปปิดบางส่วนของรูเปิดรูปไข่

(oval window) ส่วนที่เหลือของรูเปิดรูปไข่จะถูกปิดโดยกระดูก

operculum ซึ่งจะยึดติดกับกระดูกรองรับขาหน้า (pectoral

girdle) โดยกล้ามเนื้อ opercularis เสียงสามารถเข้าถึงหูชั้นใน

ของกบได้ 2 เส้นทาง คือ ผ่านทางเยื่อแก้วหู และทาง operculum

(รูปที่ 2 ซ้าย) กบจะรับเสียงความถี่ต�่

ำจากการสั่นสะเทือนของ

พื้นดินผ่านทางกระดูกรยางค์หน้า และกระดูกรองรับขาหน้า

แล้วส่งต่อไปยัง operculum ขณะที่เสียงความถี่สูงกว่าที่มากับ

อากาศ เช่น เสียงร้องเรียกหาคู่ในฤดูผสมพันธุ์ จะรับผ่านทางเยื่อ

แก้วหู แล้วส่งต่อไปที่ columella แรงสั่นสะเทือนของเสียงที่

ถูกน�

ำผ่านทั้งทางกระดูก columella และ operculum จะถูก

ส่งผ่านรูเปิดรูปไข่เข้าไปกระตุ้นของเหลวและเซลล์รับเสียงในหู

ชั้นในต่อไป

swimbladder