Previous Page  19 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 19 / 62 Next Page
Page Background

19

ปีที่ 42 ฉบับที่ 190 กันยายน- ตุลาคม 2557

ไม่เพียงแต่การสร้างเมืองจะส่งผลต่อความรุนแรง

ของพายุแล้ว การเกษตรกรรมหรือการพาณิชยกรรม

ที่ก่อให้สภาพพื้นดินที่มีความแตกต่างกัน (Hetero-

geneity) ก่อให้เกิดความร้อนที่ปลดปล่อยออกจาก

พื้นดินส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้พายุหมุนเขตร้อน

เกิดความรุนแรงขึ้น เช่น พายุหมุนเขตร้อน Tropical

Cyclone Erin ได้ เข้ าสู่ มลรัฐเท็กซัสประเทศ

สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และ

พายุมิได้อ่อนก�

ำลังลงแต่กลับเพิ่มความรุนแรงเพิ่มขึ้น

เมื่อเข้าสู่มลรัฐโอคลาโฮมา และก่อให้เกิดความเสียหาย

บริเวณดังกล่ าวเป็นอย่ างมาก การที่พายุหมุน

เขตร้อนได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น เนื่องจากความแตกต่าง

ทางสภาพภูมิประเทศระหว่างพื้นที่แห้งแล้งและพื้นที่

เปียก ซึ่งความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดพลังงานความร้อน

ความชื้นจากพื้นดิน ซึ่งเพิ่มพลังงาน convective

available potential energy (CAPE) ให้กับ

พายุหมุนเขตร้อน Erin ดังรูปที่ 6 ท�

ำให้พายุเพิ่มก�

ำลัง

แรงขึ้นและก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น

รูปที่ 6 แสดงกลไกการท�

ำให้พายุหมุนเขตร้อน Erin เพิ่มก�

ำลังแรง

ขึ้นหลังจากพัดผ่านบริเวณด้านตะวันตกของโอคลาโฮมา

ที่มา Kellner et al., 2012

จากตัวอย่างที่กล่าวจะเห็นได้ว่า ความชื้นของดินมีความส�

ำคัญ

ต่อสภาพอากาศและภูมิอากาศเป็นอย่างมากและโมเดลทาง

คณิตศาสตร์ยังไม่สามารถค�

ำนวณปริมาณความชื้นของดินและ

อุณหภูมิของพื้นดิน ให้มีความถูกต้องแม่นย�

ำในการน�

ำไปท�

ำนาย

สภาพของอากาศและภูมิอากาศในอนาคต ตามแบบจ�

ำลอง

คณิตศาสตร์ท�

ำนายภูมิอากาศไอพีซีซี (IPCC) พบว่า โมเดลท�

ำนาย

การเปลี่ยนแปลงความชื้นในดินไม่ถูกต้อง ไม่สามารถระบุได้ว่าใน

อนาคตจะมีปริมาณน�้

ำเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามรูปที่ 7

การตรวจวัดความชื้นของดินโดยใช้ดาวเทียมนั้น มีมาตั้งแต่ปี

พ.ศ. 2552 โดย องค์กรอวกาศยุโรป ESA (European Space

Agency) ดาวเทียม SMOS ท�

ำการตรวจวัดความชื้นของดินและ

ความเค็มของมหาสมุทร โดยใช้ L-band interferometric

radiometer เป็นตัวตรวจจับความร้อนจากพื้นดิน และ SMOS ได้

ท�

ำอุปกรณ์ใหม่ ระบุความชื้นของดินเฉลี่ยทุก 3 วัน ตามรูปที่ 8 และ

วัดดัชนีชี้ความแห้งแล้งของดินตามระดับความชื้นของดิน (Drought

Index) (SDI) ตามรูปที่ 9 พบว่า ประเทศไทยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผชิญความแห้งแล้งระดับ 0.2-0.3 ด้านบน

ของประเทศแอฟริกา รวมถึงทะเลทรายซาฮาร่า และบริเวณตอนกลางของทวีปออสเตรเลียประสบความแห้งแล้งมากเช่นกัน

(โดยมีค่าระดับความแห้งแล้งอยู่ที่ 0-0.1 ส่วนทวีปอเมริกา พื้นทีทางด้านทิศตะวันตกประสบความแห้งแล้งซึ่งตรงข้ามกับทางด้าน

ทิศตะวันออกส่วนใหญ่มีความชุ่มชื้น

รูปที่ 7 แสดง โมเดลท�

ำนายการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้น

ของดินตามทวีปต่าง ๆ

(ที่มา:

http://smap.jpl.nasa.gov/files/smap2/IPCC2.jpg)