Previous Page  48 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 48 / 62 Next Page
Page Background

48

นิตยสาร สสวท.

กระบวนการประเมินความต้องการจ�

ำเป็นที่จะท�

ำให้ได้ข้อมูล

สารสนเทศครอบคลุมประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

• การระบุความต้องการจ�

ำเป็น

• การวิเคราะห์หาสาเหตุ

• การก�

ำหนดทางเลือกในการแก้ปัญหา

หากด�

ำเนินการครบทั้ง 3 ขั้นตอนนี้เรียกว่าเป็นการประเมิน

ความต้องการจ�

ำเป็นแบบสมบูรณ์ (complete needs assessment

research) การศึกษาด้วยวิธีการประเมินความต้องการจ�

ำเป็น

จะท�

ำให้ได้ผลลัพธ์ที่น�

ำไปสู่การพัฒนา อีกทั้งยังสามารถใช้

ประโยชน์ จากผลที่ได้ ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ

ขอบเขตการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูวิทยาศาสตร์

ครูคณิตศาสตร์และครูเทคโนโลยี ทุกช่วงชั้นจากโรงเรียนทุกสังกัด

ทั่วประเทศ โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota

sampling) ทั้งนี้ได้สุ่มหน่วยตัวอย่างจากรายชื่อโรงเรียนที่เข้าร่วม

การทดสอบ O-NET ปีการศึกษา 2554 ส�

ำหรับสมรรถนะในการ

พัฒนาครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี

ประกอบด้วยสมรรถนะ 7 ด้าน ได้แก่

(1) ด้านการจัดท�

ำหลักสูตรสถานศึกษา

(2) ด้านการเขียนแผน/ออกแบบการจัดการเรียนรู้

(3) ด้านเทคนิคการจัดการเรียนรู้

(4) ด้านการวัดผลประเมินผล

(5) ด้านสื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้

(6) ด้านการวิจัยในชั้นเรียน

(7) ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา

ในการศึกษาครั้งนี้ ค�

ำนวณดัชนีความต้องการจ�

ำเป็นโดยใช้วิธี

PNIModified วิเคราะห์สาเหตุและแนวทางแก้ไขโดยการวิเคราะห์

โมเดลลิสเรล

ครูส่วนใหญ่จ�

ำเป็นต้องได้รับการพัฒนาด้านใดเป็นล�

ำดับแรก

ผลการวิจัยพบว่า ครูส่วนใหญ่จ�

ำเป็นต้องได้รับการพัฒนา

สมรรถนะด้านการวิจัยในชั้นเรียน เป็นล�

ำดับแรก (ดังภาพที่ 1)

ผลการวิจัยดังกล่ าวสะท้ อนให้ เห็นว่ าครูวิทยาศาสตร์

ครูคณิตศาสตร์ และครูเทคโนโลยีส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ

ในการท�

ำวิจัยในชั้นเรียนที่ถูกต้อง ครูอาจไม่ทราบแน่ชัดว่าการวิจัย

ในชั้นเรียนคืออะไรมีกระบวนการท�

ำวิจัยในชั้นเรียนอย่างไร จะเริ่มต้น

จากตรงไหน แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือ

แม้กระทั่งตัวคุณครูเองควรต้องตระหนักถึงความส�

ำคัญของการวิจัย

ในชั้นเรียนและเร่งพัฒนาให้ครูสามารถท�

ำวิจัยในชั้นเรียนได้อย่าง

มีคุณภาพเพื่อให้ครูได้น�

ำผลการวิจัยไปปรับใช้กับการเรียนการสอน

ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ดังในประเทศฟินแลนด์ซึ่งถือว่าเป็น

ประเทศหนึ่งที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลกเนื่องจากมีผลคะแนน

จากโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) สูงทั้งด้านการอ่าน

วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา และจากการ

จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของเวิลด์

อีโคโนมิกฟอรัม (World Economic Forum) ปี 2013 ฟินแลนด์

อยู่ในอันดับที่ 3 รองจากสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์ เมื่อศึกษาและ

วิเคราะห์การจัดการศึกษาในฟินแลนด์พบว่าปัจจัยส�

ำคัญอย่างหนึ่งที่

ท�

ำให้การศึกษาของประเทศนี้ประสบความส�

ำเร็จสูงคือ ครูใช้การวิจัย

เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ (สุภกร บัวสาย, 2556)

ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาครูควรให้ความส�

ำคัญด้าน

การท�

ำวิจัยในชั้นเรียน โดยท�

ำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบหรือ

กระบวนการพัฒนาครูที่เน้นให้ครูเกิดทักษะการท�

ำวิจัยในชั้นเรียน

ซึ่งเน้นให้มีการปฏิบัติและมีผู้ให้ค�

ำปรึกษาอย่างจริงจัง

ภาพที่ 1 ความต้องการจ�

ำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพส�

ำหรับครูวิทยาศาสตร์

คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี