Previous Page  47 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 47 / 62 Next Page
Page Background

47

ปีที่ 43 ฉบับที่ 194 พฤษภาคม - มิถุนายน 2558 ี

ที่ ั

บี่ ิ

ถุน

เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสไปสอน ได้สัมผัสถึงปัญหาจากเนื้อหา

ในหลักสูตร และคู่มือการเรียนโดยเฉพาะเรื่องการสอนการใช้งาน

โปรแกรม Photoshop ซึ่งผู้เขียนเองในฐานะผู้ทดสอบโปรแกรม

Adobe และใกล้ชิดกับทีมงาน นอกจากนี้ยังรับรู้ถึงแนวคิดใน

การพัฒนาซอฟต์แวร์ ท�

ำให้ทราบว่า หนังสือประกอบการเรียน

ในวิชานี้ที่น�

ำมาให้นักเรียนได้เรียนรู้นั้น ไม่สอดคล้องกับสภาพ

แวดล้อม สภาพความพร้อมของนักเรียน เพราะเป็นเนื้อหาที่

ไม่ได้ให้ความรู้พื้นฐานของเรื่อง Digital Image อย่างแท้จริง

แต่กลับไปให้ความส�

ำคัญในด้านศิลปะ และเน้นในเรื่องเทคนิค

การใช้ เครื่องมือมากกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง การเรียน

Digital Imaging ในระดับนี้นักเรียนไม่ใช่เป็นนักเรียนในสาย

อาชีพคือยังไม่รู้เลยว่านักเรียนจะเป็นนักออกแบบ ช่างภาพ หรือ

แพทย์ นักกฎหมายในอนาคต ดังนั้นในการเรียนการสอนอาจ

ไม่จ�

ำเป็นต้องใช้โปรแกรม Photoshop เพียงอย่างเดียว เพราะ

มีหลายปัจจัยที่ไม่เอื้อให้กับการเรียนการสอนอย่างแท้จริงทั้ง

ข้อจ�

ำกัดด้านงบประมาณและบุคคลากร โรงเรียนไม่มีงบ

ประมาณพอที่จะซื้อซอฟต์แวร์ใช้ในห้องปฏิบัติการ และอุปกรณ์

คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง

ของซอฟต์แวร์ได้ทัน ดังนั้นสิ่งที่จะต้องค�

ำนึงถึงในด้านการเรียน

การสอนคือจะท�

ำอย่างไรให้เด็กนักเรียนเข้าใจเรื่อง Digital Imaging

ในระดับพื้นฐาน สามารถฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง และสามารถน�

ำไป

ใช้งานในชีวิตประจ�

ำวันได้จริง โดยที่เราต้องบรรลุถึงวัตถุประสงค์

ของการเรียนการสอนได้ด้วย

แนวทางพื้นฐานที่สามารถน�

ำไปใช้ในการเรียนการสอน และ

เป็นประโยชน์ส�

ำหรับเด็กนักเรียน จนสามารถน�

ำไปใช้ในชีวิต

ประจ�

ำวัน หรือน�

ำไปต่อยอดในการเลือกเรียนสายอาชีพในวัน

ข้างหน้าได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องเริ่มจากให้นักเรียนเข้าใจใน

กระบวนการทั้งหมดก่อนสิ่งส�

ำคัญที่สุดคือต้องเริ่มต้นจาก

“ศัพท์เฉพาะทาง (Terminology)” ที่จ�

ำเป็นในการน�

ำไปสู่

วิธีการ และทักษะในการใช้งานในเรื่อง Digital Imaging

ส�

ำหรับวิธีการสอนที่ได้น�

ำไปใช้ในห้องเรียนนั้น ก่อนอื่น

ผู้สอนต้องส�

ำรวจความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ด้วยการพูดคุยและ

ทดสอบฝีมือทางด้านศิลปะ ด้วยวิธีง่ายคือให้เขาวาดรูปลงบน

กระดาษที่เกี่ยวกับตัวเอง จะใส่ความคิดแบบไหน จะวาดอย่างไร

ให้เขาคิดโดยอิสระ เพียงแต่ก�

ำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ต้องเป็นภาพที่

บอกเล่าตัวตนของตนเองได้มากที่สุด หลังจากนั้นก็เก็บงานมา

พิจารณา เราจะทราบถึงแนวคิดของผู้เรียน และทักษะเบื้องต้น

ว่านักเรียนคนไหน มีแนวโน้มในการท�

ำงานและสามารถเรียนได้

อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนคนไหนที่ไม่ชอบงานประเภทนี้หรือ

ไม่มีความถนัด เราก็จะสามารถคัดกรองได้ระดับหนึ่ง ท�

ำให้ง่าย

ในการสอนในขั้นตอนต่อไป

เนื่องจากเวลาในการเรียนการสอนมีไม่มากเท่าที่จะต้องให้

นักเรียนใช้งานโปรแกรม Photoshop เพราะก่อนที่จะเรียนเรื่อง

Photoshop ได้ นักเรียนต้องเรียนรู้ในรูปแบบวิทยาศาสตร์

เสียก่อน นั่นคือ เรียนเรื่อง Color Mode, Resolution และ

File Format แต่หลายคนมักเข้าใจว่าต้องไปเน้นเรื่องการตกแต่ง

การใช้เครื่องมือ ซึ่งความจริงแล้ว ความรู้พื้นฐานเป็นเรื่องส�

ำคัญ

ที่เด็กต้องเรียนรู้ก่อนใช้เครื่องมือ

ผู้เขียนได้ท�

ำการประยุกต์การใช้เครื่องมือที่สอดคล้องกับ

ค�

ำสั่งตกแต่งภาพในโปรแกรม Photoshop ด้วยการให้นักเรียน

ใช้งานโปรแกรมตกแต่งภาพที่อยู่ใกล้ตัวและใช้เกือบทุกวัน คือ

โปรแกรมตกแต่งภาพในโทรศัพท์มือถือ ในอุปกรณ์ที่นักเรียนใช้

หรือในโปรแกรมที่เป็นโซเชียลมีเดีย อย่าง Instagram ที่

โปรแกรมเหล่านี้ ล้วนมีค�

ำสั่งที่เป็นพื้นฐานของโปรแกรม

Photo Editing ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นค�

ำสั่ง Brightness, Contrast

และอื่น ๆ ซึ่งค�

ำสั่งเหล่านี้ เป็นพื้นฐานที่ผู้ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพ

ต้องรู้ ดังนั้น ผู้สอนจึงสามารถสอนการใช้งานจากค�

ำสั่งเหล่านี้

ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ว่าจะต้องใช้อย่างไร เมื่อไร และใช้แล้วได้ผล

อย่างไร สุดท้ายของการเรียนการสอนในวิชานี้ ต้องสอนเรื่อง

รูปแบบไฟล์ ขนาดไฟล์ที่เหมาะสมในการใช้งานในแต่ละสื่อ โดย

การยกตัวอย่างจากการใช้ภาพกับโซเชียลมีเดีย ที่หลายคนใช้งาน

โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ใช้แบบลองผิดลองถูก ซึ่งอย่างน้อย

เราก็จะบรรลุเป้าหมายในเรื่องให้นักเรียนเข้าใจเครื่องมือที่ใช้งาน

เพื่อน�

ำไปใช้ได้จริงมากกว่าการท�

ำหลักสูตรที่เพ้อฝัน และยังไม่

สอดคล้องกับความต้องการของเด็กในช่วงเวลานี้

บทสรุป

ในการเรียนการสอนวิชาที่เกี่ยวข้องกับ Creativity และ

Technology นั้น ต้องพยายามให้นักเรียนใช้ความคิดที่เป็น

ระบบ รู้จักการแก้ปัญหา แต่ไม่ต้องเน้นเครื่องมือมากนัก เพราะ

เ ครื่องมือต่ า ง ๆ มีการปรับปรุ งประสิทธิภาพตลอด

มีการปรับเปลี่ยนเวอร์ชันและวิธีการท�

ำตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยน

ไป แต่แนวคิดในการประยุกต์การใช้เครื่องมือ ว่าจะใช้เมื่อไหร่

เวลาไหน จะเป็นสิ่งที่ท�

ำให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์งานได้

มากกว่าการเรียนรู้เทคนิคแบบ Step by Step ที่ก�

ำลังจะหมด

ยุคส�

ำหรับการเรียนรู้ในเชิงสร้างสรรค์ในไม่ช้านี้