

รูปที่ 3
การขับรถยนต์
รูปที่ 4
การลดทอนข้อมูลของโจทย์ปัญหาด้วยตัวแปรและแผนภาพ
คือ
การใช้ระบบการทำ
�งานแบบอัตโนมัติ (Automaticity)
ท่านผู้
อ่านหลาย ๆ คนอาจจะเคยประสบกับเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถระลึก
ได้ว่า เราได้ทำ
�สิ่งที่เราทำ
�อยู่เป็นประจำ
�แล้วหรือยัง เช่น จำ
�ไม่ได้ว่าได้
ปิดประตูและใส่กลอนบ้านเรียบร้อยก่อนออกจากบ้านแล้วหรือยัง?
จำ
�ไม่ได้ว่าได้หยิบกุญแจบ้านหรือกระเป๋าสตางค์มาด้วยหรือเปล่า? ถ้า
หยิบมาแล้วหยิบตอนไหน? กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่เรา
กระทำ
�โดยอัตโนมัติ เป็นการดำ
�เนินการที่ใช้ความรู้ตัว ความใส่ใจ และ
การทำ
�งานของสมองน้อยมาก ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการกระทำ
�ที่
สามารถทำ
�ได้โดยไม่จำ
�เป็นต้องคิด
การทำ
�งานแบบอัตโนมัติเกิดจาก
การกระทำ
�ซ้ำ
� ๆ และการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำ
�เสมอ
เช่น การหัดขับ
รถยนต์ ซึ่งในตอนแรกที่เราหัดขับรถยนต์ก็จำ
�เป็นที่จะต้องใช้สมองใน
การประมวลผลข้อมูลที่มีจำ
�นวนมากและหลากหลายรูปแบบพร้อม ๆ
กัน ไม่ว่าจะเป็น การบังคับพวงมาลัยและเกียร์ การเหยียบคันเร่งและ
เบรก การมองและสังเกตวัตถุโดยรอบทั้งรถที่ขับอยู่ข้างหน้า รถที่ขับ
สวนมา รถที่จอดอยู่ สิ่งกีดขวางตามท้องถนนต่าง ๆ และการมองหน้า
ปัดของมิเตอร์วัดความเร็ว ซึ่งเราจะพบว่า ยิ่งเราได้มีประสบการณ์ใน
การขับรถยนต์เพิ่มมากขึ้นเท่าไร กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขับ
รถยนต์ก็จะกลายเป็นการทำ
�งานแบบอัตโนมัติเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อเราขับรถจนชำ
�นาญก็จะทำ
�ให้เรามีพื้นที่ของสมองในการประมวล
ผลสำ
�หรับการทำ
�กิจกรรมอย่างอื่นควบคู่ไปกับการขับรถได้ เช่น การ
ฟังเพลง การร้องเพลง การสะบัดมือ การดีดนิ้ว หรือการหยิบสิ่งของที่
อยู่ใกล้ตัว
จะเห็นได้ว่า กระบวนการการทำ
�งานโดยอัตโนมัตินี่เอง
ที่ทำ
�ให้มนุษย์เราสามารถทำ
�หลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกันได้
การประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องหน่วยความจำ
�สำ
�หรับการ
ประมวลผลในการเรียนการสอน โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์
1. การแปลงข้อมูลเป็นตัวแปร สมการ รูปภาพ และแผนภาพ
ไดอะแกรม
กระบวนการในการเรียนรู้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เขียน คิด
วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ
�ความเข้าใจ และแก้ปัญหาโจทย์ ล้วนแล้วแต่จะ
ต้องใช้พื้นที่ในการประมวลผลของหน่วยความจำ
�สำ
�หรับการประมวล
ผล การลดภาระในการจำ
�ข้อมูลของหน่วยความจำ
�ส่วนนี้ให้น้อยลง และ
การเพิ่มพื้นที่ในการประมวลผลของหน่วยความจำ
�ส่วนนี้ให้มากขึ้น จึง
มีส่วนช่วยให้มนุษย์เราสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การแปลงข้อมูลที่ได้รับเข้ามาจำ
�นวนมาก
ให้เป็นตัวแปร สมการ รูปภาพ และแผนภาพไดอะแกรม ตัวอย่างเช่น ใน
การแก้โจทย์ปัญหาทางฟิสิกส์ที่ซับซ้อนนั้น ผู้แก้ปัญหาส่วนใหญ่ก็จำ
�เป็น
ที่จะต้องแปลงโจทย์ที่เป็นข้อความยาว ๆ ให้เป็นตัวแปรและแผนภาพ
ไดอะแกรม จากนั้นจึงวิเคราะห์โจทย์ปัญหาจากตัวแปรและแผนภาพ
แทนการวิเคราะห์ข้อความที่บรรยายโจทย์ปัญหาโดยตรง วิธีการนี้
จะเป็นการทำ
�ให้ผู้แก้ปัญหามีพื้นที่ของสมองในการตีความ วิเคราะห์
และสังเคราะห์โจทย์มากยิ่งขึ้น ในการเรียนรู้ทฤษฎีหรือเนื้อหาสาระ
วิชาการก็เช่นกัน หากเนื้อหาวิชานั้นสามารถแปลงเป็นสมการ รูปภาพ
หรือแผนภาพไดอะแกรม ก็จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำ
�ความเข้าใจสิ่งที่
กำ
�ลังเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. การฝึกทักษะการเรียนรู้ต่าง ๆ อยู่เสมอ
ท่านผู้อ่านหลาย ๆ คนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำ
�ไมการฝึกทักษะ
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการดำ
�เนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็น
การพูด การอ่าน การเขียน การปฏิบัติ และการทำ
�โจทย์แบบฝึกหัด
จึงมีความสำ
�คัญ? ทั้งนี้ก็เพราะว่า กิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นนี้ส่วน
ใหญ่เป็นกิจกรรมที่ประกอบไปด้วย
กิจกรรมย่อย
(Subtasks)
อีก
จำ
�นวนมาก ตัวอย่างเช่น ในกระบวนการอ่านที่มีประสิทธิภาพนั้น
ผู้อ่านก็จำ
�เป็นที่จะต้องใช้ทักษะในการแปลความหมายของคำ
� การ
แปลความหมายของประโยค และทักษะในการจับใจความสำ
�คัญ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อความที่มีคำ
�ศัพท์ที่แปลกหรือไม่คุ้นเคย ก็จะยาก
ต่อการทำ
�ความเข้าใจ เพราะผู้อ่านจำ
�เป็นต้องใช้สมองส่วนหนึ่งใน
ปีที่ 42
|
ฉบับที่ 185
|
พฤศจิกายน-ธันวาคม 2556
5