Previous Page  18 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 18 / 62 Next Page
Page Background

การค�

ำนวณประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์หรือการท�

ำงานออก

มาเป็นอัตราส่วนนี้ ท�

ำให้เราสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพ

ของผลิตภัณฑ์หรือวิธีการท�

ำงานต่างชนิดหรือต่างวิธีได้อย่าง

ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ประสิทธิภาพ

ของผลิตภัณฑ์และการท�

ำงานสูงขึ้น สามารถเห็นได้ชัดจาก

เทคโนโลยีสารสนเทศที่วิวัฒน์ไปอย่างรวดเร็ว เช่น การพัฒนา

วิธีส่งข้อมูลดิจิทัลผ่านสายโทรคมนาคมที่เดิมทีใช้กระแสไฟฟ้า

วิ่งผ่านสายทองแดงเช่นสายโทรศัพท์ในการส่ง แต่ต่อมาเริ่มมี

การใช้เส้นใยน�

ำแสง (optical fibre) ซึ่งส่งด้วยล�

ำแสงท�

ำให้

ความเร็วในการส่งสูงขึ้นเท่าความเร็วแสงและให้สัญญาณที่มี

ความเสถียรมากกว่าสายทองแดงเนื่องจากไม่มีความต้านทาน

เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหลังจากมีการหันมาใช้ใยน�

ำแสงในการ

ส่งข้อมูลแล้ว นักเทคโนโลยีก็ได้พัฒนาประสิทธิภาพในการ

ส่งข้อมูลผ่านใยน�

ำแสงด้วยการใช้หลักการสะท้อนของแสง

กับเรื่องมุมแย้งของเส้นขนานมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ใยน�

ำแสง

เพียงเส้นเดียวสามารถส่งสัญญาณได้หลายช่องพร้อม ๆ กัน

ด้วยการท�

ำให้ล�

ำแสงหลายล�

ำแสงท�

ำมุมต่าง ๆ กับแกนเส้น

ผ่านศูนย์กลางของใยแก้ว ดังแสดงในรูปที่ 2

รูปที่ 2 การพัฒนาประสิทธิภาพการส่งข้อมูลผ่านเส้นใยน�

ำแสง

ด้วยการใช้หลักการสะท้อนแสงและมุมแย้งของเส้นขนานเพื่อให้

สามารถส่งข้อมูลได้หลายช่องทางมากขึ้นจากสายเพียงเส้นเดียว

ซึ่งถึงแม้ว่าล�

ำแสงที่ส่งผ่านการสะท้อนด้วยมุมต่าง ๆ จะ

ใช้ระยะทางในการเดินทางของแสงมากกว่าล�

ำแสงที่ส่งไปตาม

แกนเส้นผ่านศูนย์กลางของสายดังแสดงในรูป แต่เนื่องจาก

แสงมีความเร็วสูงมาก ความแตกต่างนี้จึงไม่มีนัยส�

ำคัญนัก

นอกจากนี้นักเทคโนโลยียังสามารถตรวจสัญญาณช่องต่าง ๆ

ได้จากมุมของล�

ำแสงที่แตกต่างกันได้ว่าล�

ำแสงใดแทนช่อง

สัญญาณใด การน�

ำเอาหลักการสะท้อนของแสงและความรู้

คณิตศาสตร์เรื่องมุมแย้งในเส้นขนานมาประยุกต์ใช้จึงช่วย

ในการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยจ�

ำนวนช่องสัญญาณที่ส่งได้

มากขึ้นจากใยน�

ำแสงเพียงเส้นเดียวนั่นคือ เพิ่มผลที่ได้ โดย

ใช้ทรัพยากรเท่าเดิม

นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการเพิ่มผลที่

ได้โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิมแล้ว ประสิทธิภาพยังสามารถเพิ่ม

ได้ด้วยการลดทรัพยากรที่ใช้โดยยังได้ผลที่ต้องการเท่าเดิม

ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีของจอแสดงผล

ของเครี่องคอมพิวเตอร์ที่แต่เดิมนิยมใช้จอ Cathode Ray Tube

(CRT) โดยอาศัยหลักการยิงล�

ำอิเล็กตรอนไปยังผิวด้านในของ

จอภาพซึ่งฉาบด้วยสารฟอสฟอรัส ท�

ำให้ต�

ำแหน่งที่อิเล็กตรอน

วิ่งมาชนเกิดแสงสว่างขึ้น ซึ่งจ�

ำเป็นต้องแปลงความต่างศักย์

ไฟฟ้า 220 โวลต์ ให้สูงขึ้นหลายเท่าเพื่อการยิงล�

ำอิเล็กตรอน

ท�

ำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามาก ต่อมานักเทคโนโลยีจึงได้

พัฒนาจอแสดงผลแบบใหม่คือจอ Liquid Crystal Display

(LCD) ซึ่งใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลวเพื่อปิด

กั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟ้าเหนี่ยวน�

ำ ท�

ำให้ใช้ก�

ำลังไฟฟ้าต�่

ำและ

สามารถประหยัดพลังงานลงไปมาก โดยจอ CRT ขนาด 17

นิ้ว (วัดความยาวตามเส้นทแยงมุม ท�

ำให้มีพื้นที่ประมาณ 70

ตารางนิ้วส�

ำหรับจอที่มีอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างเป็น

4:3) รุ่นหนึ่งของบริษัทหนึ่งอาจกินไฟถึง 125 วัตต์ ในขณะที่

จอ LCD ขนาดเดียวกันอาจกินไฟเพียง 35 วัตต์เท่านั้น เมื่อ

เปรียบเทียบประสิทธิภาพก�

ำลังไฟฟ้ากับการแสดงผลของจอ

ทั้งสองแบบแล้วจะได้ว่า

ประสิทธิภาพก�

ำลังไฟฟ้ากับการแสดงผลของจอแบบ CRT

=

70

125

= 0.56 ตารางนิ้วต่อวัตต์

ประสิทธิภาพก�

ำลังไฟฟ้ากับการแสดงผลของจอแบบ LCD

=

70

35

= 2.00 ตารางนิ้วต่อวัตต์

นั่นคือประสิทธิภาพก�

ำลังไฟฟ้ากับการแสดงผลของ

จอแบบ LCD สูงเป็น

2.00

0.56

= 3.57 เท่าของจอแบบ CRT

นิตยสาร สสวท.

18