

ในส่วนของประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ ได้
อธิบายว่า กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
(Inquiry process) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้าง
องค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติ
และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ เช่น การ
ส�
ารวจ การสังเกต การวัด การจ�
าแนกประเภท การทดลอง
การสร้างแบบจ�
าลอง การสืบค้นข้อมูล (สถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2549; ส�
านักวิชาการและ
มาตรฐานการศึกษา, 2551)
จากค�
านิยามของ Inquiry หรือ การสืบเสาะหาความ
รู้ เราจะพบว่า Inquiry ถูกนิยามไว้กว้างๆ ครอบคลุมถึงทุก
กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการหาค�
าตอบเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งอาจท�
าให้เกิดความคลุมเครือ
ในการท�
าความเข้าใจและการน�
าไปปฏิบัติจริงในห้องเรียน
ด้วยเหตุนี้เอง สภาวิจัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จึงได้เพิ่ม
5 ลักษณะเฉพาะของห้องเรียนแบบสืบเสาะ เพื่อให้คณะครู
และนักวิชาการการศึกษา ได้มองเห็นภาพ ที่ชัดเจนและเข้าใจ
ห้องเรียนแบบ Inquiry มากยิ่งขึ้น
5 ลักษณะเฉพาะของห้องเรียนแบบสืบเสาะ (Essential
features of classroom inquiry) ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในปี พ.ศ.
2543 (NRC, 2000) คือ
1. ผู้เรียนมีความสนใจในค�
าถามทางวิทยาศาสตร์
(Learner engages in scientifically oriented questions)
2. ผู้เรียนให้ความส�
าคัญกับหลักฐานที่ใช้ตอบค�
าถาม
ทางวิทยาศาสตร์ (Leaner gives priority to evidence in
responding to questions)
3. ผู้เรียนสร้างค�
าอธิบายจากหลักฐานที่มีอยู่ (Learner
formulates explanations from evidence)
4. ผู้เรียนเชื่อมต่อค�
าอธิบายเข้ากับหลักการ ความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ (Leaner connects explanations to
scientific knowledge)
5. ผู้เรียนสื่อสาร ถ่ายทอด และแสดงให้เห็นถึงความ
สมเหตุสมผลของค�
าอธิบายที่สร้างขึ้น (Learner commu-
nicates and justifies explanations)
นอกจากนี้ ดังที่กล่าวไปข้างต้น นักวิชาการการศึกษาหลาย
แขนง ได้คิดค้น แนะน�
า เทคนิคและวิธีการสอนอีกมากมายที่
สอดคล้องกับหัวใจของการสอนแบบสืบเสาะ เช่น การจัดการ
เรียนรู้แบบ 5E, Problem-Based Learning, Project-Based
Learning, Model-Based Learning, Argument-Based
Inquiry ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้ครูประสบความส�
าเร็จ
ในการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะในห้องเรียนและมี
ประสิทธิภาพ และช่วยผู้เรียนเข้าใจและเข้าถึงหลักการและ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง แต่ในความเป็น
จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้วยจ�
านวนเทคนิคและวิธีการสอน
วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะที่มีมากมายนี้กลับสร้างปัญหาและ
ความสับสนให้กับครูมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สภาวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกาเข้าใจถึงความสับสน
และความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในหมู่แวดวงการศึกษา จึงได้มี
ความพยายามจะสางปมปัญหานี้ด้วยการน�
าเสนอมาตรฐาน
วิทยาศาสตร์ศึกษายุคใหม่ (Next Generation Science
Standards: NGSS) ที่ให้ความส�
าคัญกับ 3 เสาหลัก ได้แก่
1. แนวคิดแกนหลักของสาขาวิชา (Disciplinary Core Ideas)
2. แนวคิดเชื่อมโยงระหว่างสาขาวิชา (Crosscutting Con-
cepts) และ 3. แนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม
(Science and Engineering Practices) ข้อสังเกตหนึ่งที่เรา
พบจาก แนวคิด และเนื้อหาที่ปรากฏใน NGSS คือแทบจะ
ไม่มีการกล่าวถึงการสอนแบบสืบเสาะ หรือ Inquiry อีกเลย
แต่กลับพบว่ามีการใช้ค�
าว่า แนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และ
ปีที่ 42 ฉบับที่ 186 มกราคม - กุมภาพันธ์ 2557
7