Previous Page  29 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 29 / 62 Next Page
Page Background

29

ปีที่ 42 ฉบับที่ 189 กรกฎาคม - สิงหาคม 2557

รวมเป็น 4 แบบ ซึ่งในการเปรียบเทียบโอกาสที่เหรียญจะ

ออกหน้าต่าง ๆ สามารถใช้หลักการของความน่าจะเป็นมาช่วย

ในการเปรียบเทียบได้ เช่น โอกาสที่เหรียญจะออก ‘หัว’

ซึ่งมีอยู่เพียง 1 แบบคือ (หัว, หัว) จากผลลัพธ์ที่เป็นไปได้

ทั้งหมด 4 แบบ ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออก ‘หัว’

สามารถค�

ำนวณได้จากสูตรการหาความน่าจะเป็น

ความน่าจะเป็นที่เหรียญออก ‘หัว’

จ�

ำนวนผลลัพธ์ที่เหรียญออก ‘หัว’

จ�

ำนวนผลลัพธ์ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ในท�

ำนองเดียวกัน โอกาสที่เหรียญจะออก ‘กลาง’ ซึ่งมีอยู่

2 แบบ คือ (หัว, ก้อย) กับ (ก้อย, หัว) จากผลลัพธ์ของการโยน

เหรียญที่เป็นไปได้ทั้งหมด 4 แบบ ความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออก

‘กลาง’ จะเท่ากับ ในขณะที่ความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออก

‘ก้อย’ จะเท่ากับ เนื่องจากมีผลลัพธ์ที่เหรียญจะออก ‘ก้อย’

เพียงแบบเดียวคือ (ก้อย, ก้อย) จากผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด 4 แบบ

ดังนั้น หากมีการโยนเหรียญลักษณะนี้หลาย ๆ ครั้ง โอกาส

ที่ผลลัพธ์จะออก‘กลาง’มีค่ามากที่สุด นั่นคือ หรือ

ผู้เรียนจึงควรคาดการณ์ว่าผลลัพธ์จะออก ‘กลาง’ มากครั้งที่สุด

การค�

ำนวณความน่าจะเป็นของกรณีที่ผลลัพธ์จะออก ‘หัว’

‘ก้อย’ หรือ ‘กลาง’ จะท�

ำให้ผู้เรียนเห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้

ผลลัพธ์ตามที่กิจกรรมก�

ำหนดไว้จะมีสามแบบ แต่แต่ละแบบก็

ไม่ได้มีโอกาสเกิดขึ้นเป็น เท่ากัน เพราะในกรณีที่ผลลัพธ์

เป็น ‘กลาง’ สามารถมีได้สองแบบคือ (หัว, ก้อย) กับ (ก้อย, หัว)

การแสดงหลักการของความน่าจะเป็นด้วยกิจกรรมปัญหา

ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนต้องคิดลักษณะนี้จะท�

ำให้ผู้เรียนเล็งเห็นประโยชน์

ของเนื้อหาวิชาที่เรียนได้มากขึ้น ซึ่งก็นับเป็นการอธิบายไปในตัวว่า

เราหาค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปเพื่ออะไรและก่อนที่

เราจะหาค่าความน่าจะเป็นได้ เราต้องการข้อมูลใดและอย่างไร

นับเป็นการเรียนรู้หลักการของความน่าจะเป็นในเชิงปฏิบัติที่กระตุ้น

ให้ผู้เรียนมองเห็นภาพและประโยชน์ของหลักการและทฤษฎี

ทางคณิตศาสตร์ได้ด้วยตนเอง

กิจกรรมที่ 2: ลูกเต๋ารวมพลัง

นอกจากการโยนเหรียญแล้ว การโยนลูกเต๋าก็เป็นกิจกรรมสนุก ๆ

อีกกิจกรรมหนึ่งที่สามารถพัฒนาเป็นเกมคณิตศาสตร์ตามแนวทาง

สะเต็มศึกษาได้ โดยเบื้องต้นผู้สอนน�

ำอภิปรายกับผู้เรียนเกี่ยวกับ

ลูกเต๋า ว่ามีประโยชน์อย่างไร มีลักษณะกายภาพเป็นรูปทรง

เรขาคณิตชนิดใด และสามารถท�

ำเป็นรูปทรงอื่น ๆ เช่น ปริซึม

รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากลักษณะคล้ายกล่องรองเท้าได้หรือไม่ เพราะ

เหตุใด เพื่อน�

ำไปสู่ข้อสรุปว่า ลูกเต๋าที่เราพบเห็นโดยทั่วไปมี

ลักษณะเป็นรูปลูกบาศก์ที่มีหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเท่า ๆ กัน

จ�

ำนวน 6 หน้า ซึ่งเมื่อโยนแล้วโอกาสที่ลูกเต๋าจะออกหน้าต่าง ๆ

ตั้งแต่ 1 ถึง 6 มีค่าเท่า ๆ กัน

เมื่อผู้เรียนเข้าใจสมบัติเบื้องต้นของลูกเต๋าแล้ว ผู้สอนจึงน�

ำเข้า

สู่กิจกรรม ‘ลูกเต๋ารวมพลัง’ ด้วยการตั้งค�

ำถามว่า ถ้าโยน

ลูกเต๋า 2 ลูกพร้อม ๆ กัน ผลรวมของแต้มลูกเต๋าทั้งสองลูกจะ

เป็นอะไรได้บ้าง ซึ่งผู้เรียนควรสรุปได้ว่า ผลรวมที่เป็นไปได้

มี 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 จากนั้นผู้สอนอาจ

ตั้งค�

ำถามท้าทายผู้เรียนต่อว่า ถ้าให้ผู้เรียนทุกคนโยนลูกเต๋า

สองลูกพร้อมกันคนละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง (เพื่อให้จ�

ำนวนครั้ง

ทั้งหมดของการโยนอยู่ระหว่าง 40-78 ครั้ง ขึ้นกับจ�

ำนวน

ผู้เรียนในชั้น)จนครบทั้งชั้น ผลรวมของแต้มลูกเต๋า 2 ลูกที่ได้จาก

การโยนแต่ละครั้ง จะเป็นค่าใดมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนบันทึก

ค�

ำตอบลงในสมุด

รูปที่ 2 ลูกเต๋าจิ๊กซอว์สีแดงและสีเขียวส�

ำหรับกิจกรรม “ลูกเต๋ารวมพลัง”