

32
นิตยสาร สสวท.
กิจกรรมเรื่อง ‘ความน่าจะเป็น’ ส�
ำหรับผู้เรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้แนะน�
ำไปทั้งสองกิจกรรมนี้ เป็นตัวอย่าง
ที่แสดงให้เห็นถึงการปรับแนวทางการจัดการเรียนการสอน
จากการเริ่มต้นด้วยเนื้อหาทางทฤษฎีก่อนน�
ำไปสู่การประยุกต์ใช้
มาเป็นการเริ่มต้นด้วยปัญหาที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดและประเมิน
สถานการณ์เพื่อตัดสินใจด้วยตนเอง ก่อนที่ผู้เรียนจะเป็นฝ่ายออกแบบ
วิธีในการแก้ปัญหานั้น ๆ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้นี่เองที่จะน�
ำ
ไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่ผู้สอนต้องการ
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ได้คิดหาวิธีแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงนับเป็นหลักส�
ำคัญ
ประการหนึ่งของการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา
ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มี
การบูรณาการเนื้อหาเข้ากับสาขาวิชาอื่น ๆ มากนัก
(นอกเหนือจากในส่วนของการใช้การทดลองซึ่งมีความใกล้เคียงกับ
การทดลองในวิชาวิทยาศาสตร์)แต่กิจกรรมเหล่านี้ก็สามารถ
แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการน�
ำหลักการทางคณิตศาสตร์
ไปใช้ในโลกของความเป็นจริงได้ โดยหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม
เหล่านี้แล้วผู้สอนอาจร่วมกันสรุปกับผู้เรียนว่า การโยนเหรียญ
หรือการโยนลูกเต๋ามีจุดร่วมที่เหมือนกันอย่างไร และจะมีขั้น
ตอนและวิธีในการวางแผนเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
อย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นการน�
ำเข้าสู่เนื้อหาเชิงทฤษฎี เช่น บท
นิยามของ ‘การทดลองสุ่ม’‘เหตุการณ์’ รวมทั้ง สูตรทั่วไปของ
ความน่าจะเป็นต่อไปในภายหลัง ท�
ำให้ผู้เรียนสามารถตระหนักถึง
บทนิยามและหลักการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถ
มองเห็นภาพจากกิจกรรมที่ได้ร่วมลงมือท�
ำในชั้นเรียนก่อนหน้านี้แล้ว
การเรียนรู้เรื่อง ‘ความน่าจะเป็น’ ในกิจกรรมเหล่านี้จึง
เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ไม่ได้เป็นการใช้ทฤษฎีค�
ำนวณหา
ความน่าจะเป็นออกมา โดยไม่เห็นถึงประโยชน์ว่าจะน�
ำไปใช้ท�
ำอะไร
และที่ส�
ำคัญคือผู้เรียนทุกคนจะมีโอกาสได้สนุกสนานจาก
การลงมือปฏิบัติ รวมทั้งได้ร่วมลุ้นไปตลอดกิจกรรมว่าค�
ำตอบที่ตัวเอง
คาดการณ์ไว้จะใกล้เคียงกับผลลัพธ์ที่ก�
ำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่
อย่างใจจดใจจ่อ . . .
บรรณานุกรม
Bybee, R. W. (2011). Scientific and Engineering Practices in K-12 Classrooms: Understanding A Framework for K-12 Science
Education.
Science Teacher
.
78
(9), 34-40.
Katehi, L., Pearson, G. and Feder, M. (2009).
Engineering in K-12 Education: Understanding the Status and Improving
the Prospects.
Washington, D.C.: National Academies Press.
Piaget, J. (1972).
The Principle of Genetic Epistemology.
London: Routledge & Kegan Paul.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2554).
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ (2555).
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
แต่อย่างน้อยที่สุดการทดลองด้วยตนเองก็ท�
ำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในการสร้างองค์ความรู้โดยตรง และสามารถมองเห็นปัจจัยต่าง ๆ
ที่เชื่อมโยงกันได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ดังนั้นผู้สอนไม่จ�
ำเป็น
ต้องวิตกว่าผลการทดลองจริงอาจไม่สอดคล้องกับความน่าจะเป็น
ทางทฤษฎี เพราะสถานการณ์นี้อาจใช้เป็นตัวอย่างในการอธิบาย
ถึงช่องว่างและความต่างในการน�
ำทฤษฎีมาใช้ในการปฏิบัติให้
นักเรียนเข้าใจอย่างเป็นประโยชน์ได้
จากกิจกรรม “ลูกเต๋ารวมพลัง” นี้ ผู้สอนอาจน�
ำมา
ดัดแปลงเป็นกิจกรรม “ผลต่างระหว่างเต๋า” ในคาบเรียนต่อไป
ซึ่งมีกติกาคล้าย ๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนค�
ำถามจาก
ผลรวม
ใด
จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด มาเป็น
ผลต่าง
ใดจะมีโอกาสเกิด
ขึ้นมากที่สุด เพื่อเป็นการประเมินด้วยว่า นักเรียนสามารถน�
ำ
หลักการเรื่องความน่าจะเป็นที่เรียนมาแล้ว ไปปรับใช้กับ
สถานการณ์ใหม่ ๆ ด้วยตนเองได้หรือไม่
ขอขอบคุณ อาจารย์ นิติกาญจน์ ไกรสิทธิพัฒน์ และ
อาจารย์ ศิริบุญ อักษรกิตติ์จากโรงเรียนปทุมคงคา
ส�
ำหรับค�
ำแนะน�
ำในการวางแผนและการทดลองกิจกรรม