

7
ปีที่ 42 ฉบับที่ 189 กรกฎาคม- สิงหาคม 2557
ดร.สนธิ พลชัยยา
นักวิชาการ สาขาเคมี สสวท. / e-mail :
sopho@ipst.ac.thหลักสูตรหรือการจัดการ เรียนรู้ ที่มีการบูรณาการ
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์เข้า
ด้วยกัน หรือที่เรียกว่า “สะเต็มศึกษา (STEM Education)” เป็น
ค�
ำย่อที่มาจากค�
ำว่า Science Technology Engineering and
Mathematics Education ได้เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมาย
ส�
ำคัญเพื่อน�
ำผู้เรียนไปสู่การคิดแก้ปัญหาและการสร้างสรรค์
นวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยง
บทเรียนในห้องเรียนกับการน�
ำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ใน
ชีวิตประจ�
ำวันได้จริง การจัดการเรียนรู้ที่มีการบูรณาการหลัก
สะเต็มศึกษาเข้าไปในหลักสูตรหรืออาจน�
ำมาใช้เพียงบางส่วน
ของเนื้อหาวิชา ก็นับได้ว่ามีการผสมผสานการเรียนรู้แบบผู้เรียน
เป็นส�
ำคัญเพราะผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ และ
สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้
ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมา
ได้มีบทความเกี่ยวกับความส�
ำคัญของสะเต็มศึกษาและการบูรณาการ
หลักการของสะเต็มในหลักสูตรหรือเนื้อหาวิชา รวมทั้งตัวอย่าง
การจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสะเต็มในวารสารต่าง ๆ เช่น
กิจกรรมช่วยเหลือนกเพนกวิน กิจกรรม I want my pizza hot
และกิจกรรม building roller coasters
จุดเด่นส�
ำคัญอีกประการหนึ่งของสะเต็มศึกษาที่นอกเหนือ
จากการออกแบบการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้บูรณาการ
ความรู้ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์
และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน และการเชื่อมโยงองค์ความรู้จาก
บทเรียนในห้องเรียนเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�
ำวันแล้ว
สะเต็มศึกษายังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการคิดขั้นสูง (Higher-ordered
thinking) ซึ่งเป็นทักษะที่จ�
ำเป็นในศตวรรษที่ 21 (21st Century
skills) สะเต็มศึกษาช่วยส่งเสริมการคิดขั้นสูงของผู้ เรียน
ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และจะได้กล่าวต่อไป แต่ก่อนอื่น
ผู้เขียนขออธิบายเกี่ยวกับความหมายและประเภทของการคิดขั้นสูงก่อน
สะเต็มศึกษา
กับการคิดขั้นสูง
1. ความหมายและประเภทของการคิดขั้นสูง
ค�
ำว่ า
คิด
ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึงทําให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบ
ให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องขึ้นในใจ
การคิด
เป็นกิจกรรมทางสมอง
ที่ต้ องอาศัยข้ อมูลการรับรู้ จากประสาทสัมผัสทั้งห้ าและ
จากประสบการณ์ ผนวกกับพื้นฐานของเหตุและผล มาประมวล
และวิเคราะห์เพื่อการรับรู้ หรือท�
ำความเข้าใจสถานการณ์หรือ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมทั้งตอบสนองและตัดสินใจ นอกจากนี้
ยังอาจใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น การแก้ปัญหา
การตัดสินใจ หรือการวางแผน
การคิดขั้นสูง
เป็นการคิดที่น�
ำไปสู่
วิธีการแก้ปัญหา การคิดอย่างสร้ างสรรค์ การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ หรือการคิดซับซ้อนอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่ความรู้ความจ�
ำ
หรือความเข้าใจ
การคิดขั้นสูงมีหลายประเภทซึ่งหนังสือแต่ละเล่มได้อธิบาย
ไว้ในบริบทที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามในบทความนี้จะกล่าวถึง
การคิดขั้นสูง 3 ประเภท คือ การคิดแก้ปัญหา (problem solving)
การคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) และการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งเป็นการคิดที่มีการกล่าวถึง
และตีพิมพ์อย่างแพร่หลายว่าสามารถฝึกฝนให้เกิดกับผู้เรียนผ่านการ
ท�
ำกิจกรรมสะ เต็ม และนอกจากนี้ การคิดแก้ ปั ญหา
การคิดสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ยังเป็นทักษะ
ส�
ำคัญต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 รายละเอียดของการคิดขั้นสูง
ทั้ง 3 ประเภท สามารถสรุปได้ดังนี้
1.1 การคิดแก้ปัญหา
การคิดแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการพิจารณาจ�
ำแนก
เกี่ยวกับประเด็นปัญหาหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความล�
ำบาก
หรือยุ่งยาก จากนั้นมีการประยุกต์น�
ำสิ่งของ วิธีการ หรือ
เหตุการณ์ บางอย่างมาปรับใช้อย่างเหมาะสม โดยสอดคล้อง
กับบริบททางสังคม วัฒนธรรม และ สภาพแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหา
หรือให้บรรลุผลส�
ำเร็จตามจุดประสงค์ที่ก�
ำหนดไว้