Previous Page  11 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 11 / 62 Next Page
Page Background

11

ปีที่ 42 ฉบับที่ 189 กรกฎาคม - สิงหาคม 2557

ร้อยเอก ปิยพล อนุพุทธางกูร

นักวิชาการ สาขาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ สสวท. / e-mail:

panub@ipst.ac.th

ภายหลังจากที่อากาศหนาวมาพักใหญ่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2556

ต่อต้นปี พ.ศ. 2557 ตอนนี้อากาศก็เริ่มจะร้อนขึ้นแล้ว แดดก็จ้า

ฟ้าก็โปร่งจนท�

ำให้บางคนเริ่มไม่ชอบขึ้นมา แต่ที่ว่าร้อน ๆ อย่างนี้คง

เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่โลกในยุค 5,000 ล้านปีจากนี้จะได้เจอ ในตอนปลาย

อายุขัยของดวงอาทิตย์ (ถ้ามีใครอายุยืนยาวได้ถึงขนาดนั้นคงจะได้

เ จอกับปร ะสบการณ์ ตรง ) ซึ่งตอนนั้น โ ลกจ ะอยู่ ภาย ใ น

ดวงอาทิตย์เลยทีเดียว เนื่องจากดวงอาทิตย์จะขยายขนาดและมวล

ขึ้นมากสมมติว่าขนาดของดวงอาทิตย์ในปัจจุบันเทียบได้กับลูกฟุตบอล

ในอนาคตมันจะขยายขนาดจนมีขนาดใกล้ เคียงกับขนาดของ

สนามฟุตบอลเลยทีเดียว ก่อนที่จะลดขนาดลงจนมีขนาดเท่ากับมดที่

เดินอยู่บนสนามฟุตบอลนั้นหลายคนคงสงสัยว่าทราบได้อย่างไร ซึ่งค�

ำตอบ

ก็คือเราคาดเดาค�

ำตอบจากการสังเกตวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ

ที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ในทางช้างเผือก ซึ่งผลการศึกษาเหล่านี้ให้เบาะแส

แก่เราในการท�

ำนายชะตาชีวิตของดวงอาทิตย์ ถ้าเช่นนั้นเรามาเรียนรู้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับดาวฤกษ์กันดีกว่า อยากรู้จังว่าจุดจบของมันเป็นเช่นไร

ความรู้ใหม่เกี่ยวกับ

ชะตาชีวิตของดวงอาทิตย์

ราวหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์กชื่อเอ็ดนาร์

เฮิรตซ์สปรุง (Ejnar Hertzsprung) และนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน

ชื่อ เฮนรี นอร์ริส รัสเซลล์ (Henry Norris Russell) ต่างคนต่างสังเกต

พบสิ่งที่น่าทึ่งในขณะที่ก�

ำลังวิเคราะห์ดาวฤกษ์หลายดวงที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์

มากที่สุด โดยพบว่าดาวฤกษ์บางดวงที่มีสีเดียวกันและอยู่ห่างจากโลก

ในระยะทางที่เท่ากันกลับมีความสว่างที่แตกต่างกันมาก เฮิรตซ์สปรุง

เรียกดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ซึ่งมีความสว่างมากว่า“ดาวยักษ์”และดาวฤกษ์

ที่อยู่ใกล้ซึ่งมีความสว่างน้อยว่า “ดาวแคระ” จากนั้นในเดือนธันวาคม

พ.ศ. 2456 รัสเซลล์ได้น�

ำเสนอแผนภูมิชุดแรกของสิ่งที่เราเรียกกันใน

ปัจจุบันว่าแผนภูมิเฮิรตซ์สปรุง-รัสเซลล์(Hertzsprung-Russeldiagram)

หรือแผนภูมิเอช-อาร์ แผนภูมินี้เปรียบเทียบความสว่างของดาวฤกษ์

(ในแกนตั้ง) กับสีของดาวฤกษ์หรือสเปกตรัม (ในแกนนอน)

โดยอาศัยข้อมูลจากการสังเกตดาวฤกษ์ในท้องฟ้าในศตวรรษที่20

ท�

ำให้เริ่มมีความคิดเห็นแรก ๆ เกี่ยวกับฟิสิกส์ของดวงดาวออกมา

โดยเชื่อว่ามวลและความสว่างของดาวฤกษ์มีความสัมพันธ์กัน ในตอน

นั้นนักดาราศาสตร์เริ่มสงสัยว่าดาวฤกษ์มีวิวัฒนาการอย่างไรและคิดว่า

อาจเป็นไปได้ที่ดาวฤกษ์เหล่านั้นมีวิวัฒนาการและเคลื่อนที่ไปบน

แผนภูมิเอช-อาร์ เป็นระยะเวลานานหลายทศวรรษแล้วที่เราได้เรียนรู้

ว่ามวลของดาวฤกษ์บงการชีวิตของมันเอง ทั้งยังเป็นตัวก�

ำหนดความ

สว่างและอุณหภูมิของดาวฤกษ์อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราสรุปทุกขั้นตอน

ของวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ไว้ในแผนภูมิที่ส�

ำคัญดังกล่าว

นักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีประสิทธิภาพทั้งบนภาคพื้น

และในอวกาศ เพื่อวัดความสว่างสีและต�

ำแหน่งของดาวฤกษ์ ตัวอย่าง

เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลสามารถสังเกตการณ์ดาวฤกษ์ที่

คล้ายดวงอาทิตย์ที่อยู่ห่างออกไป2.5ล้านปีแสงในกาแล็กซีแอนโดรเมดา

ดาวฤกษ์เหล่านั้นมีความสว่างน้อยกว่าดาวฤกษ์ที่สว่างน้อยที่สุดที่มนุษย์

สามารถมองด้วยตาเปล่าถึง 1 หมื่นล้านเท่า

ในขั้นตอนสุดท้ายของวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ สิ่งห่อหุ้มรอบนอกของดาวฤกษ์

(ที่มีลักษณะเดียวกันกับดวงอาทิตย์) จะถูกพัดออกไปยังตัวกลางระหว่างดาวฤกษ์

ที่อยู่รอบ ๆ เหลือไว้เพียงแกนกลางที่ร้อนและไม่มีอะไรห่อหุ้ม ภาพนี้แสดงถึงเนบิวลา

ดาวเคราะห์ โดยรังสีเหนือม่วงที่แผ่ออกจากแกนกลางให้ความสว่างกับแก๊สและ

ฝุ่นที่ถูกขับออกไป ก่อเป็นรูปร่างซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เนบิลาผีเสื้อ (Butterfly

Nebula)”

ในอนาคตเนบิวลานี้จะเหลือเพียงแกนกลางของดาวฤกษ์ตั้งต้นที่

เผาไหม้ไฮโดรเจนเท่านั้น ที่เราเรียกว่า ดาวแคระขาว

วงจรชีวิตของดาวฤกษ์

สแกนโค้ดนี้เพื่อ

ชมภาพเคลื่่อนไหว