

8
นิตยสาร สสวท.
1.2 การคิดสร้างสรรค์
การคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการมองเห็นประเด็น
ของปัญหา หรือการเชื่อมโยงความคิดเดิมกับจินตนาการ
แล้วสร้างเป็นความรู้ ความคิด หรือชิ้นงานใหม่ของตนเอง
โดยใช้กลยุทธ์ทางความคิดที่หลากหลายทั้งการวิเคราะห์ประเด็น
การคิดนอกกรอบ การคิดริเริ่มและการสร้างสรรค์ผลงานหรือ
สิ่งใหม่ ๆ ที่เหมาะสมต่อการใช้งานได้
1.3 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การคิดอย่ างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถในการ
วิเคราะห์และตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยยึดตามหลักฐานเชิง
ประจักษ์ เป็ นส�
ำคัญ ดังนั้นการคิดในลักษณะนี้ถือเป็ น
ความสามารถในการวิเคราะห์ แปลความหมาย ประเมินค่า สรุป
และสังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และใช้ผลลัพธ์ในการแก้ไขปัญหา
หรือตัดสินใจ หรือเลือกใช้วิธีการได้เหมาะสม นอกจากนี้การคิด
อย่างมีวิจารณญาณยังรวมการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการ
ตัดสินใจเลือกใช้วัสดุ หรือวิธีการที่ท�
ำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
การจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสะเต็มเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วย
ให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป
2. สะเต็มศึกษากับการพัฒนาการคิดขั้นสูงของผู้เรียน
เมื่อค�
ำว่า STEM Education (สะเต็มศึกษา) ได้ปรากฏ
สู่สาธารณชนในช่วงปลายปี ค.ศ. 1990 โดย National Science
Foundation (NSF) ค�
ำศัพท์ค�
ำนี้ได้รับความสนใจจากบุคคล
ในสายอาชีพต่าง ๆ เช่น นักพฤษศาสตร์เกิดความเข้าใจผิดคิดว่า
นักการศึกษาได้ให้ความส�
ำคัญกับการวิจัยบางส่วนของต้นพืชมาก
ขึ้น (stem = ล�
ำต้น) วิศวกรและนักเทคโนโลยีคิดว่าค�
ำศัพท์นี้
เกี่ยวข้องกับนาฬิกาข้อมือ (watch stem = ปุ่มด้านข้างนาฬิกา
ส�
ำหรับหมุนเข็ม) ในขณะที่นักการเมืองหัวโบราณเกิดความกังวล
เพราะเข้าใจว่านักการศึกษาได้สนับสนุนการศึกษาด้านสเต็ม
เซลล์หรือเซลล์ต้นก�
ำเนิดอย่างเป็นทางการ (stem cell = เซลล์
ต้นก�
ำเนิด)
สะเต็มศึกษาเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ
หนึ่งที่มีส่วนคล้ายกับ
กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
(inquiry
approaches)
ที่ผู้ เรียนต้องค้นหาและสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง ซึ่งคล้ายกับการแสวงหาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์
ในขณะที่ครูหรือผู้สอนนั้น ท�
ำหน้าที่เป็นผู้อ�
ำนวยความสะดวก
(facilitator) และ
การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-
based learning)
ในแง่ของการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ
แก้ปัญหาหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่จุดที่ต่างคือ
สะเต็มศึกษา
(STEM Education)
จะเน้นการบูรณาการหลักการและศาสตร์
ความรู้จาก 4 สาขา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์
และ คณิตศาสตร์ เข้าด้วยกันดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น
อย่างไรก็ตามการน�
ำหลักการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสะเต็ม
ศึกษาไปใช้ ควรต้องค�
ำนึงถึงความเหมาะสมและบริบทของผู้
เรียน โรงเรียน เนื้อหาวิชา รวมทั้งการคิดขั้นสูงที่ต้องการให้เกิด
กับผู้เรียนเป็นส�
ำคัญ
เพื่อให้มองภาพเกี่ยวกับสะเต็มศึกษาและการพัฒนาการคิด
ขั้นสูงของผู้เรียนเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง
บทวิเคราะห์การคิดขั้นสูงจากตัวอย่างกิจกรรมสะเต็ม เรื่อง
ช่วยเหลือนกเพนกวิน ในนิตยสาร สสวท. ปีที่ 41 ฉบับที่ 182
พ.ศ. 2556 ในกิจกรรมนี้ผู้สอนเริ่มต้นกระบวนการสอนด้วยการ
ตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรียน รวมทั้งอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับ
สมบัติการถ่ายโอนความร้อนและการเป็นฉนวนความร้อนของ
วัสดุ ผ่านวิธีการ คาดคะเน สังเกต และอธิบาย (Predict Observe
Explain: POE) จากนั้นผู้สอนให้ผู้เรียนต่อยอดความรู้โดย
สร้างบ้านให้นกเพนกวิน โดยมีเงื่อนไขคือ
- เมื่อน�
ำน�้
ำแข็งที่ทราบน�้
ำหนัก มาวางไว้ในบ้านของ
นกเพนกวิน แล้วน�
ำไปส่องด้วยโคมไฟภายในเวลาที่ก�
ำหนด
น�้
ำหนักของน�้
ำแข็งหลังทดลอง ต้องมีค่าใกล้เคียงกับน�้
ำหนัก
ก่อนทดลองมากที่สุด
- ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ให้คุ้มค่าและประหยัดมากที่สุด
ซึ่งในกิจกรรมนี้ ผู้สอนให้งบประมาณแต่ละกลุ่มในการสร้างบ้านให้
นกเพนกวินในวงเงินที่เท่ากัน จากนั้นผู้เรียนต้องน�
ำเงินไปซื้อวัสดุ
อุปกรณ์ที่ผู้สอนเตรียมและตั้งราคาไว้แล้วและเมื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์มาแล้ว
จะต้องใช้เพราะผู้สอนไม่รับคืนแต่ถ้าไม่ใช้จะมีการหักคะแนนความคุ้มค่า
- มีความเป็นไปได้ในการน�
ำแบบจ�
ำลองที่สร้างไปขยายให้เท่า
ขนาดจริง (scale up)
- บ้านนกเพนกวินต้องสวยงามและมีความคิดสร้างสรรค์