Previous Page  14 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 14 / 62 Next Page
Page Background

14

นิตยสาร สสวท.

เปรียบเทียบสเปกตรัม

ดาวยักษ์น�้

ำเงิน

ดาวแคระขาว

ดวงอาทิตย์

ความยาวคลื่น (นาโนเมตร)

เหนือม่วง มองเห็น ใต้แดง

ในขณะที่ดวงอาทิตย์แสดงแถบมืดของเส้นการดูดกลืนหลายเส้น ดาวฤกษ์ที่

ร้อนกว่ามีเส้นสเปกตรัมง่าย ๆ ที่แสดงเพียง “ล�

ำดับบาลเมอร์” ของไฮโดรเจน

ดาวแคระขาวที่ก่อตัวขึ้นใหม่มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิของดาวยักษ์

น�้

ำเงินที่ร้อน ดังนั้นจึงแสดงเส้นบาลเมอร์ให้เห็นเช่นกัน แต่เนื่องจาก

ความดันที่รุนแรงบนพื้นผิวของดาวแคระขาว เส้นการดูดกลืนเหล่านี้จึง

“ถูกท�

ำให้กว้างขึ้นจากความดัน” และมีความกว้างมากกว่าของดาวฤกษ์ที่

เผาไหม้ไฮโดรเจนอยู่มาก โดยการสังเกตเส้นบาลเมอร์เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์

สามารถวัดอุณหภูมิของซากและแรงโน้มถ่วงบนพื้นผิวได้อย่างถูกต้อง

เพื่อที่จะสังเกตเส้นสเปกตรัมที่กว้างมากขึ้นเหล่านี้ คาลิไรและคณะ

อาศัยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า สเปกโทรกราฟ (spectrograph)

เพื่อแยกแสงจากดาวฤกษ์ โดยเจาะจงใช้สเปกโทรกราฟส�

ำหรับ

วัตถุหลายชิ้นบนกล้องโทรทรรศน์ขนาด 10 เมตร เช่น

กล้องโทรทรรศน์เค็ก (Keck telescope) ในรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

เพื่อที่จะวัดสเปกตรัมของดาวแคระขาวนับเป็นโหล ๆ ในกระจุกดาว

แห่งหนึ่งในเวลาเดียวกัน จากนั้นเปรียบเทียบแบบจ�

ำลองคอมพิวเตอร์

ของเส้นสเปกตัมไฮโดรเจนเหล่านั้นกับสเปกตรัมของดาวแคระขาว

เพื่อวัดความดันบนพื้นผิว อุณหภูมิ และแรงโน้มถ่วงบนพื้นผิวของมัน

จากสารสนเทศนี้ท�

ำให้สามารถค�

ำนวณมวลของดาวฤกษ์ในปัจจุบัน

ได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังทราบว่าดาวฤกษ์มีมวลขนาดดังกล่าวมานาน

เพียงไรนับตั้งแต่ดาวฤกษ์แรกเริ่ม (original star) พ่นชั้นแก๊สภายนอก

ออกมาและเหลือไว้เพียงแกนกลาง

ขั้นตอนที่ 3 น�

ำมันมาไว้ด้วยกัน (รวบรวม)

อายุของแต่ละกระจุกดาว (ที่หาได้ในขั้นตอนที่ 1) เป็นอายุเดียวกัน

กับอายุของดาวฤกษ์ทุกดวงที่เป็นสมาชิกอยู่ ส�

ำหรับดาวแคระขาว

ค่าดังกล่าวคือผลรวมของเวลาเย็นตัวที่หาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ของแต่ละซากและช่วงชีวิตในการเผาไหม้ไฮโดรเจนของดาวฤกษ์ตั้งต้น

นั่นหมายความว่าเราสามารถค�

ำนวณช่วงชีวิตของดาวฤกษ์ตั้งต้น

โดยใช้สมการต่อไปนี้

อายุของกระจุกดาว – เวลาในการเย็นตัวลงของดาวแคระขาว = ช่วงชีวิตของดาวฤกษ์ตั้งต้น

เราสามารถหาที่มาของมวลของดาวฤกษ์ตั้งต้นโดยการใช้

แบบจ�

ำลองทางทฤษฎีที่ได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดีที่อายุนั้น

วิธีการใหม่ช่วยให้เราสามารถส�

ำรวจได้ทั้งมวลตั้งต้นและมวลสุดท้าย

ของดาวฤกษ์ดวงเดียวกัน

สูญเสียมวลไปมากเท่าใด

ภายหลังจากที่ใช้การค�

ำนวณนี้

กับสิ่งที่สังเกตได้จากดาวแคระขาวในกระจุกดาวใกล้เคียงเป็นเวลา

นับหลายทศวรรษรวมถึงผลที่ได้จากการศึกษา 47 Tuc ของคาลิไร

และคณะ ท�

ำให้ค้นพบว่าดาวฤกษ์ที่เผาไหม้ไฮโดรเจนจะสูญเสียมวล

ของมันไปมากในวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่า

ก็จะสูญเสียมวลสารมากเป็นสัดส่วนกัน ตัวอย่างเช่น ดาวฤกษ์

ที่ถือก�

ำเนิดโดยมีมวลห้าเท่าของมวลดวงอาทิตย์จะสูญเสียมวล

ร้อยละ 80 ในวิวัฒนาการ และจบชีวิตลงในรูปของดาวแคระขาว

มวลมาก โดยมีมวลเท่ากับมวลของดวงอาทิตย์โดยประมาณ (ดาวซิริอุส บี

ซึ่งเป็นดาวแคระขาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด สอดคล้องกับ

การท�

ำนายนี้เนื่องจากมันมีมวลโดยประมาณเท่ากับดวงอาทิตย์)

ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้พบได้น้อยกว่าเนื่องจากธรรมชาติ

สร้างดาวฤกษ์มวลน้อยเป็นจ�

ำนวนมากกว่าดาวฤกษ์มวลมากอยู่มาก

ในขณะที่วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์น�

ำไปสู่

ดาวแคระขาวที่มีคาร์บอนและออกซิเจนเป็นองค์ประกอบซึ่งดูเป็น

แบบฉบับมากกว่า บรรพบุรุษของดาวแคระขาวที่มีมวลมากเช่นนี้

อาจพัฒนาไปจนมีอุณหภูมิและความหนาแน่นที่สูงกว่ามาก

ในสภาพแวดล้อมที่สุดขีดนี้ แม้แต่คาร์บอนและออกซิเจนในแกนกลาง

ของดาวก็สามารถหลอมตัวกลายเป็นธาตุที่หนักขึ้นเช่นนีออน

และแมกนีเซียม ดังนั้นนักดาราศาสตร์จึงเชื่อว่าแกนกลางของ

ดาวแคระขาวที่มีมวลมากเหล่านี้มีองค์ประกอบต่างจากดาวฤกษ์

ที่ “เป็นแบบฉบับ” มากกว่า ส�

ำหรับดาวฤกษ์ที่มีขนาดปานกลาง

คือมีมวลราวสองถึงสามเท่าของมวลดวงอาทิตย์ มันจะสูญเสียมวล

ราว 2 ใน 3 ถึง 3 ใน 4 ของมวลของมัน

ดาวยักษ์น�้

ำเงิน

ดาวแคระขาว

ดวงอาทิตย์