Table of Contents Table of Contents
Previous Page  26 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 26 / 62 Next Page
Page Background

26

นิตยสาร สสวท.

ในขณะที่ Franisek Kurina จาก Univerzita Hradec

Králové สาธารณรัฐเชค ได้ให้ข้อสังเกตว่า คณิตศาสตร์คือ

สิ่งสร้างสรรค์ของมนุษย์ภายใต้บริบททางวัฒนธรรมด้วยแนวคิดที่ว่า

คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม และเทคโนโลยี

ล้วนเป็นชุดความจริงที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการด�

ำรงชีวิตในพื้นที่

ธรรมชาติ สังคม ผ่านประวัติศาสตร์ที่ด�

ำเนินมาอย่างยาวนาน

แนวคิดนี้จะช่วยให้เห็นว่าคณิตศาสตร์มีการกลายรูปมาจากบริบท

เหล่านี้อย่างไร ซึ่งหลังจากที่เราได้โมเดลทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาแล้ว

ก็อาจมีการพัฒนาต่อยอดกฎและทฤษฎีต่าง ๆ เพิ่มขึ้น อันน�

ำไปสู่

การสร้างสมมติฐานและการพิสูจน์ต่าง ๆ ในล�

ำดับต่อไป

ส่วน Paul Drijvers จาก Freudenthal Institute for Sci-

ence and Mathematics, Utrecht University เนเธอร์แลนด์

ได้สรุปว่า คณิตศาสตร์คือกิจกรรมของมนุษย์ที่สร้างเนื้อหาจากโลก

ความเป็นจริง และจัดโครงสร้างของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ด้วยวิธี

การเฉพาะทางคณิตศาสตร์ ซึ่งโครงสร้างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจาก

กระบวนการทางคณิตศาสตร์ซึ่งอาจมีความแตกต่างจากลักษณะ

โครงสร้างทางธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่าง

โครงสร้างทางธรรมชาติในโลกของความเป็นจริงกับโครงสร้างทาง

คณิตศาสตร์

จากการอภิปรายของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ ท�

ำให้ได้

ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ถึงแม้คณิตศาสตร์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อ

การท�

ำความเข้าใจรวมทั้งแก้ปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ จากโลกของ

ความเป็นจริง แต่คณิตศาสตร์ก็มีสถานะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบ

ความคิดและจินตนาการของมนุษย์จนกลายเป็นความจริงชุดใหม่

ที่ไม่จ�

ำเป็นต้องส่องสะท้อนความจริงรอบตัวเราอย่างตรงไปตรงมา

เสมอไป การมองสถานการณ์ความเป็นจริงผ่านมุมมองทาง

คณิตศาสตร์จึงเป็นการมองอย่างมีลักษณะเฉพาะที่อาจจะต่างจาก

มุมมองอื่น ๆ เช่น มุมมองทางวิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา

มานุษยวิทยา หรือศิลปะ

2) ความสัมพันธ์ระหว่างคณิตศาสตร์ในโลกของความเป็น

จริงกับบริบทอื่น ๆ

ตามประวัติศาสตร์แล้ว คณิตศาสตร์ ไม่ได้เป็นสาขาความรู้ที่

ด�

ำรงอยู่อย่างเอกเทศ แต่มักถูกน�

ำไปใช้ในสาขาวิชาอื่น ๆ ที่ศึกษา

ปรากฏการณ์ในโลกความเป็นจริงอยู่เสมอ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์

สมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นพร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองทางวิทยาศาสตร์

ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 เช่น ด้านฟิสิกส์ กลศาสตร์ และ

ดาราศาสตร์ อย่างไรก็ดีในการน�

ำคณิตศาสตร์ไปประยุกต์ใช้กับวิชา

วิทยาศาสตร์เหล่านี้ก็ท�

ำให้เกิดช่องว่างจากธรรมชาติของวิชาต่างกัน

กล่าวคือ ธรรมชาติของการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ที่

เน้นการให้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive reasoning) โดยก�

ำหนด

ข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกันแล้วใช้การให้เหตุผลแบบนิรนัยสร้างกฎ

และทฤษฎีบทต่าง ๆ ขึ้นมา ในขณะที่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์มี

ธรรมชาติของการศึกษาเรียนรู้ด้วยการให้เหตุผลแบบอุปนัย

(Inductive reasoning) ผ่านการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ

ในธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ�้

ำ ๆ แล้วสรุปเป็นกฎหรือทฤษฎี ความแตกต่าง

ทางลักษณะการให้เหตุผลทั้งสองท�

ำให้บางครั้งก็เกิดข้อจ�

ำกัดใน

การน�

ำคณิตศาสตร์ไปใช้อธิบายเพี่อท�

ำความเข้าใจปรากฏการณ์

ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ได้

นอกจากนี้ธรรมชาติของการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อ

อธิบายสิ่งต่าง ๆ มักเป็นการสร้างโมเดลย่อย ๆ ตามลักษณะของ

เนื้อหาคณิตศาสตร์แต่ละเรื่องเพื่อความสะดวกในการศึกษา

แต่ในโลกความเป็นจริงมักมีลักษณะที่ไม่ได้มีการแยกส่วนของสิ่งต่างๆ

อย่างชัดเจน อีกทั้งปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์หนึ่ง ๆ

ก็อาจสามารถอธิบายโดยใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์ หลากหลาย

โมเดลได้อีกด้วย

Paul Drijvers ขณะบรรยายในช่วง Plenary Session