

ร่วมกิจกรรมได้ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ
เทคโนโลยี ควบคู่กับกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์เข้ามา
ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อวัสดุเพื่อให้การบริหารจัดการงบ
ประมาณที่มีอยู่จ�
ำกัดให้คุ้มค่ามากที่สุด
เมื่อทุกกลุ่มได้ออกแบบเชือกส�
ำหรับบันจีจัมป์เสร็จเรียบร้อย
แล้ว ตัวแทนกลุ่มต้องออกมาน�
ำเสนอแนวทางในการพัฒนา
เชือกส�
ำหรับปล่อยบันจีจัมป์ เวลาในการน�
ำเสนอประมาณกลุ่ม
ละ 10 นาที โดยน�
ำเสนอใน 3 หัวข้อหลัก คือ
1. วิธีการวัดความสูงของตึกและความสูงของตึกที่วัดได้
2. เหตุผลในการเลือกวัสดุมาท�
ำเป็นเชือกบันจีจัมป์
3. เหตุผลในการเลือกความยาวของเชือกบันจีจัมป์
หลักจากการน�
ำเสนอจึงจัดการแข่งขันปล่อยลูกโป่งน�้
ำ
บันจีจัมป์ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยภายหลังการปล่อยแต่ละครั้ง แต่ละ
กลุ่มจะมีโอกาสในการปรับแก้ผลงานทั้งสิ้น 15 นาที ส่วนคะแนน
การแข่งขันจะมีทั้งหมด 3 ส่วน คือ 1) คะแนนการปล่อยลูกโป่ง
น�้
ำบันจีจัมป์ 2) คะแนนการบริการจัดการงบประมาณที่ให้ และ
3) คะแนนการน�
ำเสนอผลงาน
แนวคิดที่ได้จากการจัดกิจกรรมลูกโป่งน�้
ำบันจีจัมป์
จุด
มุ่งหมายหลักของการออกแบบกิจกรรมลูกโป่งน�้
ำบันจีจัมป์เพื่อ
ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับความสนุกจากการ
ท�
ำกิจกรรม ซึ่งพบว่ากิจกรรมลูกโป่งน�้
ำบันจีจัมป์เป็นกิจกรรม
ที่สนุก เข้าใจง่าย เห็นผลเร็ว และท้าทายความสามารถของผู้
เข้าร่วมกิจกรรมทุกระดับ ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากผู้
เข้าร่วมกิจกรรม กิจกรรมนี้ท�
ำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มีโอกาส
สัมผัสและทดสอบคุณสมบัติของเชือกที่หลากหลาย นอกจาก
นี้ยังได้เรียนรู้ว่า ในชีวิตจริงนั้นมีข้อจ�
ำกัดในการแก้ปัญหาอยู่
จ�
ำนวนมาก ในที่นี่คือ วัสดุที่ใช้ งบประมาณ ความอ่อนแอของ
ลูกโป่งน�้
ำ และเวลาในการแก้ปัญหา กิจกรรมนี้จึงท�
ำให้ผู้เข้า
ร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการแก้ปัญหาซึ่งต้องมี
การวางแผน มีการศึกษาหาความรู้ และมีการน�
ำความรู้ที่ได้นั้น
มาใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกแนวทางและวิธีการในการ
แก้ปัญหา กิจกรรมลูกโป่งน�้
ำบันจีจัมป์จึงเป็นกิจกรรมตามแนว
สะเต็มศึกษากิจกรรมหนึ่งที่สาขาฟิสิกส์ สสวท. แนะน�
ำให้ท่าน
ผู้อ่านที่เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ลองน�
ำไปประยุกต์
ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน หรือลองน�
ำแนวคิดการ
จัดกิจกรรมสะเต็มนี้ไปออกแบบและพัฒนากิจกรรมสะเต็มอื่น ๆ
จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมสะเต็มนั้น ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนแต่
เพียงอย่างใด วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สามารถหาได้ง่ายและมีอยู่รอบตัว แต่ละ
บรรณานุกรม
National Research Council. (2011).
Successful K-12 STEM
education:
Identifying effective approaches in science, technology, engineering,
and mathematics.
Washington, D.C.: National Academies Press.
National Research Council. (2012).
A Framework for K-12 Science
Education: Practices, Crosscutting Concepts, and Core Ideas.
Washington, D.C.: National Academies Press.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2554).
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม ๒.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2555).
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม ๑.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2555).
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม ๒.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2556).
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2556).
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน สารและสมบัติของสาร.
กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ. (2556).
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม เคมี เล่ม ๕.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
สกสค. ลาดพร้าว.
กิจกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่
แต่สิ่งที่ส�
ำคัญที่สุดของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็ม
ศึกษา คือการกล้าคิดนอกกรอบ กล้าจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แตก
ต่างไปจากเดิม โดยต้องเปิดโอกาสและสร้างทางเลือกให้กับผู้เรียน
ในหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จัดคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และ
ประเมินค่าของวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ จนได้มาซึ่งวิธี
การที่เหมาะสมที่สุด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาจึง
เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ควรน�
ำมาใช้ในชั้นเรียนเพื่อช่วยส่งเสริมความ
คิดสร้างสรรค์และจินตนาการของผู้เรียนอีกทางหนึ่ง
ภาพตัวอย่างการแข่งขัน
ปีที่ 42
|
ฉบับที่ 185
|
พฤศจิกายน-ธันวาคม 2556
29