Previous Page  36 / 62 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 36 / 62 Next Page
Page Background

กระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม อาจมีหลายรูปแบบ

ที่ใช้กันในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้

จะประกอบไปด้วยส่วนส�

ำคัญ ได้แก่ ปัญหาหรือความต้องการ

(problem) แนวทางการแก้ปัญหา การลงมือปฏิบัติเพื่อแก้

ปัญหา การทดสอบและประเมินผล (Standard for Technology

Education by International Technology and Engineering

Educators Association: ITEEA) ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวจะ

เป็นขั้นตอนการท�

ำงานที่เป็นลักษณะวงจร (cycle) การท�

ำงาน

ที่สามารถย้อนกลับเพื่อปรับปรุงได้ตลอดขึ้นกับสถานการณ์ที่

ประสบ ดังแผนภาพ

วงจรกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม

กระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมนี้เป็นเพียงกระบวนการ

ท�

ำงานที่จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการท�

ำงานอย่างเป็นขั้นตอน

รู้จักการวางแผนการแก้ปัญหา เข้าใจถึงกระบวนการที่ได้มาซึ่ง

ผลิตภัณฑ์ใหม่ของวิศวกรที่ต้องมีการวางแผนการท�

ำงาน การ

ทดสอบ ปรับปรุงแก้ไข การคิดค้นหาแนวทางที่หลากหลายเพื่อ

ทดสอบวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนการ

นี้จะคล้ายกันกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีปัญหา

หรือข้อสงสัย การตั้งสมติฐาน การออกแบบการทดลอง และ

การลงข้อสรุป โดยจุดต่างที่ส�

ำคัญของระหว่างกระบวนการทาง

วิศวกรรมและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือ การออกแบบ

ทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาที่หลากหลายแล้ววิเคราะห์แนวทางที่

เหมาะสมที่สุดซึ่งอาจมิใช่แนวทางที่ถูกต้องที่สุด (“optimum”

rather than “right”) ซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการทางวิศวกรรม

นอกจากนั้นกระบวนการทางวิศวกรรมเน้นที่การประยุกต์ใช้

องค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์ผลงานออกมา ในขณะ

ที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มักมุ่งไปที่การได้มาซึ่งค�

ำตอบ

ของข้อสงสัยหรือองค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือแนวทางการสืบเสาะหาความ

รู้ (inquiry) ยังคงต้องใช้ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เช่น

เดิม เพียงแต่การเรียนการสอนในชั้นเรียนควรให้มีการลงมือ

ปฏิบัติด้วยการสร้างสรรค์ชิ้นงานซึ่งอาจเป็นลักษณะของโครง

งาน (project-based learning) การใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-

based learning) ให้มากขึ้นและเน้นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับ

ชีวิตจริง จะท�

ำให้ผู้เรียนเห็นความส�

ำคัญของการเรียนรู้ทฤษฎี

และสามารถน�

ำองค์ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาบูรณาการกัน

เพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ

เทคโนโลยีตามแนวทางของสะเต็มศึกษา

คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเทคโนโลยีหมายถึงคอมพิวเตอร์หรือ

อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่เราน�

ำมาใช้ในการอ�

ำนวย

ความสะดวก เช่น โทรศัพท์ โทรทัศน์ รถยนต์ แต่ในความเป็น

จริงแล้วเทคโนโลยีในที่นี้มีความหมายกว้างกว่านั้น กล่าวคือ

ในหนังสือสมาคมวิศวกรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา (NRC,

2001) ได้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีประกอบไปด้วยระบบทั้งหมด

ของคนและองค์กร (people and organizations) ความรู้ (know-

ledge) กระบวนการ (processes) และเครื่องมือ (device) ที่ใช้

ในการสร้างและด�

ำเนินงาน (create and operate) สิ่งประดิษฐ์

ทางเทคโนโลยี (technological artifacts) และยังรวมถึงตัวสิ่ง

ประดิษฐ์ด้วย จากอดีตถึงปัจจุบัน มนุษย์ได้สร้างสรรค์เทคโนโลยี

เพื่อตอบสนองความต้องการ (wants) และความจ�

ำเป็น (needs)

ของมนุษย์ เทคโนโลยีสมัยใหม่จ�

ำนวนมากเป็นผลผลิต (product)

ของวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรม และเครื่องมือทางเทคโนโลยี

(technological tools) จะถูกน�

ำมาใช้กับทั้งสองสาขา

ในขณะที่กรอบมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับพื้น

ฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา (Next Generation Science

Standard, 2012) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า เทคโนโลยีหมายถึง

ผลลัพธ์ที่เกิดจากการพัฒนาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ

ในธรรมชาติเพื่อตอบสนองความต้องการหรือความจ�

ำเป็นของ

มนุษย์ และยังได้ให้ความหมายของวิศวกรรมไว้ว่า วิศวกรรม

เป็นกระบวนการของการสร้างสรรค์ชิ้นงานอย่างเป็นระบบเพื่อ

ตอบสนองความต้องการหรือความจ�

ำเป็น

อย่างไรก็ตามการศึกษาด้านเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐอเมริกา

นั้นมีการจัดการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีศึกษา หรือ Technology

Education ซึ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการเข้าใจเทคโนโลยีโดยกว้าง

(technology literacy) มุ่งเน้นให้รู้จักการสร้างสรรค์และแก้ปัญหา

4. การทดสอบ

และประเมินผล

3. ลงมือปฏิบัติ

1. ปัญหาหรือความต้องการ

2. แนวทาง

แก้ปัญหา

นิตยสาร สสวท.

36