

35
ปีที่ 42 ฉบับที่ 190 กันยายน- ตุลาคม 2557
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือข้อมูลตั้งต้นนั่นเอง ทั้งนี้ หากไม่ทราบวิธี
การเข้ารหัสซึ่งเปรียบได้กับการล็อคกุญแจของ อลิซและบ็อบ
ก็จะไม่สามารถทราบข้อมูลตั้งต้นได้
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าการแปลงสถานการณ์จริงให้อยู่ใน
รูปข้อมูลเชิงคณิตศาสตร์ ท�
ำให้สามารถใช้เครื่องมือและทฤษฎีทาง
คณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาได้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การ
พัฒนาวิทยาการเข้ารหัสลับ เกื้อหนุนให้วิทยาการเข้ารหัสลับถูก
พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างของวิทยาการเข้ารหัสลับในชีวิตประจ�
ำวันที่ใช้แพร่
หลายอีกอย่างหนึ่งคือ บัตรกดเงินสดหรือบัตรเอทีเอ็ม ซึ่งในตัว
บัตรจะมีไมโครชิปที่ใช้เก็บข้อมูลของผู้ถือบัตร โดยผู้ถือบัตรจะได้
รับรหัส PIN เป็นตัวเลขสี่หลักที่ถูกส่งให้แยกกับตัวบัตรพร้อม
ค�
ำแนะน�
ำว่าให้ผู้ถือบัตรจ�
ำรหัส PIN นี้ไว้ และระวังไม่ให้ผู้อื่น
ล่วงรู้ได้ เพราะแม้แต่ธนาคารที่ออกบัตรก็ไม่ทราบรหัส PIN ของลูกค้า
เนื่องจากรหัส PIN หรือ Personal Identification Number
ใช้ในการยืนยันความเป็นผู้ถือบัตร เมื่อเสียบบัตรเข้าไปในเครื่องรับ
จ่ายเงินอัตโนมัติหรือตู้เอทีเอ็มแต่ละครั้ง เครื่องจะขอให้ป้อนรหัส
PIN หากป้อนรหัสได้ถูกต้อง เครื่องจึงจะท�
ำงานต่อได้ ซึ่งสามารถ
อธิบายหลักการท�
ำงานของบัตร เอทีเอ็ม และรหัส PIN อย่างย่อ ได้ดังนี้
ภาพที่ 3 ตู้เอทีเอ็ม
(ที่มา:
http://www.infolanka.com/news/IL/1150.htm)เมื่อเสียบบัตรเข้าไปในตู้เอทีเอ็ม ระบบของธนาคารจะถามค�
ำถามเพื่อ
ให้ยืนยันความเป็นผู้ถือบัตรที่แท้จริง โดยค�
ำถามจะแตกต่างกันในแต่ละครั้ง
และค�
ำถามเหล่านี้จะถูกสุ่มในรูปของตัวเลข จากนั้นไมโครชิปในตัวบัตร
จะท�
ำหน้าที่ค�
ำนวณโดยใช้ตัวเลขจากค�
ำถามที่ธนาคารส่งมาร่วมกับรหัส
PIN ที่ผู้ถือบัตรป้อนเข้าไป แล้วระบบจะส่งข้อมูลซึ่งคือผลลัพธ์ที่ได้จากการ
ค�
ำนวณกลับไปยังธนาคาร ซึ่งจากข้อมูลนี้เองจะท�
ำให้ธนาคารรู้ได้ว่าบุคคล
นั้นเป็นผู้ถือบัตรที่แท้จริงหรือไม่ โดยที่ธนาคารไม่จ�
ำเป็นต้องรู้รหัส PIN ของ
ผู้ถือบัตร ซึ่งการค�
ำนวณที่อยู่เบื้องหลังการท�
ำงานของบัตรเอทีเอ็มใช้
หลักการของเลขยกก�
ำลัง จ�
ำนวนเฉพาะ ความรู้ด้านพีชคณิต และทฤษฎี
จ�
ำนวนขั้นสูง